วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าสยองขวัญ ตำนานเสือสมิง

เสือสมิง คือ เสือที่ดุร้าย และชอบกินมนุษย์เป็นอาหาร ทำให้ความน่ากลัวของศาสตร์ลี้ลับนี้กลายเป็นตำนานที่บอกเล่ากันมาหลายยุคหลายสมัย เมื่อเสือสมิงกลืนมนุษย์เข้าไปมากมาย วิญญาณของศพที่ตายไปนั้นก็สิงสู่อยู่ในกายเสือ จนทำให้เสือตัวนั้นเพิ่มความน่ากลัว และสามารถแปลงร่างกลายเป็นใครต่อใครก็ได้ตามที่ใจปรารถนาเพื่อพลางกายตนเอง และเที่ยวล่อลวงเหยื่อคนอื่นให้มาหลงกลตนอีกครั้ง จนในที่สุดก็จะถูกจับกินเป็นอาหาร หากจำนวนศพหรือวิญญาณในกายเสือมากขึ้นเท่าไร เสือตัวนั้นก็จะยิ่งทวีฤทธิ์อำนาจมากขึ้นแบบทวีคูณ

ที่มาของเสือสมิงมีความเป็นมาที่ซับซ้อน ไม่ใช่แค่เสือตัวไหนที่กินมนุษย์เข้าไปแล้วจะสามารถกลายเป็นเสือสมิงได้เพียงแค่นั้น แต่ยังมีอีกวิธีที่จะสามารถกลายร่างเป็นเสือสมิงได้เช่นกัน วิธีดังกล่าว ก็คือ จะต้องร่ำเรียนวิชาเสือที่สามารถเรียกวิญญาณให้เสือร้ายเข้ามาสิงในกายตนได้ นอกจากนี้ยังต้องร่ำเรียนอาคมในทางเดรัจฉานวิชาด้วย  เมื่อสะสมนานวันเข้า ทุกๆอย่างที่ป้อนเข้าไปทั้งวิชาเรียกเสือและอาคม ก็จะเกิดการรวมตัวเข้าด้วยกัน และทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นเสือสมิงในที่สุด ร่างของเสือสมิงจะสมบูรณ์เมื่อเสือตนนี้กินคนเข้าไป

กล่าวถึงเรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานกันมาอย่างมากเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งโด่งดังมากถึงขั้นลงข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายใหญ่ของประเทศ เรื่องเล่านี้กล่าวกันว่า ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคเหนือ มีชาวบ้านหลายคนได้รับความเดือดร้อนจากการที่เสือตัวใหญ่ลอบเข้าไปเข่นฆ่าทำร้ายร่างกายของคนในหมู่บ้าน ชาวบ้านพากันหวาดกลัวเสือตัวนี้เป็นอย่างมาก จึงไปขอร้องทหารหน่วย ตชด. มาคอยคุ้มครองดูแลความปลอดภัยให้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้าน หลังจากนั้น หน่วยทหาร ตชด. ก็ได้ส่งกำลังทหารเข้ามาตามล่าเสือและคอยคุ้มครองชาวบ้าน
ตกดึกคืนหนึ่ง ขณะที่ฝ่าย ตชด. กำลังแบ่งกำลังเพื่อเดินตรวจตรา และส่วนที่เหลือก็เข้าพักนอนหลับบนศาลา ขณะนั้นเอง ศาลาที่หน่วย ตชด. อาศัยหลับนอนอยู่ก็เกิดสั่นไหว ทำให้ทหารที่นอนอยู่ รีบตื่นเพื่อลุกขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นเสือโคร่งตัวใหญ่ 4 ตัว ยืนพิงอยู่ที่โคนเสาของศาลา ทหารทั้งหมดตัดสินใจยิงปืนใส่เสือโคร่งตัวใหญ่นั้นไปหลายนัด จนทำให้เสือโคร่งบาดเจ็บ และวิ่งหนีหายไปในความมืดมิด
เช้าวันรุ่งขึ้น หน่วยทหารพยายามแกะรอยเดินทางตามรอยเลือดของเสือตนนั้นไป จนในที่สุด ก็ติดตามมาจนรอยเลือดสิ้นสุดที่หลุมเนินดินแห่งหนึ่ง ที่บริเวณรอบข้างไม่ปรากฎกายของเสือตัวนั้นเลย ทหารเหล่านั้นจึงตัดสินใจค้นหาคำตอบโดยการขุดหลุมเปิดเนินดินนั้น หลังจากที่เหล่าทหารขุดหลุมไปสักพักจนลึกพอประมาณ ก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ซึ่งปรากฎเป็นศพของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ท่อนบนเป็นมนุษย์ แต่ท่อนล่างเป็นสภาพของเสือลายพาดกลอน ซึ่งดูคล้ายๆว่า เป็นการกลายร่างกลับจากเสือเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นเอง
เมื่อสอบถามถึงที่มาและหลักฐานของศพชายผู้นี้ ก็ได้เรื่องราวว่าชายผู้นี้เป็นคนในหมู่บ้านแถวนั้น ซึ่งเสียชีวิตลงเพราะผิดผี แต่ชาวบ้านก็ยังสงสัยถึงประเด็นการผิดผีที่ผู้ชายคนนั้นเป็น  ว่าผู้ชายคนนี้ผิดผีอะไร และอย่างไร อย่างไรก็ตาม หนังสือไม่ได้กล่าวถึงคำตอบของคำถามนี้ จึงไม่สามารถวิเคราะห์คำตอบที่ถูกต้องได้

ช่วงสมัยนั้น ยังมีอีกหนึ่งวิชาที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ วิชาแปลงร่างเป็นจระเข้ ซึ่งหากใครสนใจในเหตุการณ์เรื่องนี้ก็สามารถค้นหาข้อมูลจากประวัติและเรื่องราวของหลวงปู่สุข วัดมะขามเฒ่า จังหวัดอยุธยา ได้ ก็จะสามารถมองเห็นความใกล้เคียงของเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปได้ นอกจากนี้ ศาสตร์การแปลงกายนี้ยังมีปรากฏในเรื่อง ขอกสินดิน แต่หากเป็นวิชาแปลงกายเป็นเสือสมิงและวิชาจระเข้โดยเฉพาะนี้ ได้จางหายและสาบสูญไปแล้ว เนื่องจาก วิชาเช่นนี้ให้โทษแก่คนที่ร่ำเรียนมากกว่าที่จะให้คุณประโยชน์ ในปัจจุบัน อาจารย์ทั้งหลายหรือผู้ที่เล่าเรียนอาคม มักนิยมปลุกเรียกเสือเพื่อลงในเครื่องรางมากกว่าจะเรียกให้มาสิงที่คน
ในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเสือสมิงบันทึกไว้เช่นกัน เรื่องราวมีอยู่ว่า ครั้งเมื่อพระองค์เสด็จประพาสต้นไปที่จันทบุรี พระองค์ทรงโปรดไปเสด็จเยี่ยมความเป็นอยู่ของประชาชนตามหัวเมืองต่างๆ ในหลายๆจังหวัด ทั้งนี้ห็เพื่อค้องการทราบสารทุกข์สุขดิบของประชาชนอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการกระทำที่ดีกว่าการอ่านรายงานจากข้าราชการเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การที่พระองค์ได้เดินทางไปในที่ต่างๆ ยิ่งทำให้พระองค์มีพระพลานามัยที่แข็งแรงมากกว่าแต่ก่อนด้วย
ในช่วยปี พ.ศ. ๒๔๑๙ พระองค์ทรงเสด็จทางเรือด้วยพระที่นั่งอรรคราชวรเดชพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ไปตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกทางจังหวัดจันทบุรี ซึ่งขณะนั้นจังหวัดนี้ยังมีแต่ป่ามากกว่าจะเจริญเป็นเมืองหรือสวนผลไม้เหมือนปัจจุบัน ในป่าเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์หลายชนิด ทั้งช้างป่า ม้าป่า และเสือป่า ซึ่งถือว่ามีความชุกชุมเป็นอย่างมากกว่าจังหวัดอื่นๆ หากทางกรุงเทพหรือที่ไหนต้องการเสือ ก็มักจะมาหาเอาจากที่นี่ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครองเมืองจันทบุรีจึงต้องเพิ่มหน้าที่จากการดูแลราษฎรอย่างใกล้ชิด มาเป็นรพินทร์ ไพรวัลย์ ที่ต้องคอยกำจัดเสือที่เข้ามาทำร้ายราษฏรด้วย
จันทบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ เป็นช่วงที่เสือแสดงความอุกอาจเป็นอย่างมาก พวกมันจะบุกเข้าไปล่าอาหารตามบ้านคนแล้วคาบคนไปกินอย่างร้ายกาจ เสือที่เข้ามาจับคนในบ้านจะเป็นเสือแก่ที่ขาดความรวดเร็วว่องไวพอจะวิ่งไล่จับสัตว์อื่นทัน จึงจำเป็นต้องเข้ามาจับคนกินแทน พฤติกรรมการล่ามนุษย์นี้ ทำเอาชาวบ้านตกใจ เสียขวัญ และระส่ำระสายกันไปทั่ว จนไม่เป็นอันกินอันนอน
พระยาจันทบุรีเห็นว่าเสือร้ายชักจะเข้ามาวุ่นวายก่อกวนกับคนมากไปแล้ว ท่านจึงตัดสินใจเผด็จศึกขั้นเด็ดขาดโดยการจัดหาพรานป่าฝีมือดีหลายคน มาช่วยกันออกไปล่าเสือด้วยปืนและจั่นดัก พรานป่าต่างล่าเสือกันอย่างเอาจริงเอาจัง เด็ดขาด และทำให้เสือล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เสือที่เหลือก็เกิดความกลัวจนหนีเตลิดเข้าป่าลึกกันไปหมด เมื่อเสือหมดไป ชาวบ้านก็หายจากอาการอกสั่นขวัญหาย และสามารถกลับมาทำอาชีพอย่างสงบสุขได้ดังเดิมอีกครั้ง
แต่ปัญหาเรื่องเสือก่อกวนเพิ่งสงบลงไปยังไม่ทันไร ก็มีข่าวลือเรื่องเสือสมิงมาทำให้ชาวบ้านเกิดอาการอกสั่นขวัญเสียกันอีกครั้งใหม่ ประจวบเหมาะกับช่วงนั้น เป็นเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสไปที่บริเวณนั้นพอดี พระองค์ได้ทรงบันทึกเรื่องราวตามพระราชนิพนธ์ ไว้ว่า
“…ราษฎรชาวเมืองเชื่อถือกลัวเสือสมิงกันมาก เล่ากันว่าที่เมืองเขมรมีอาจารย์ทำน้ำมันเสือสมิงได้ ศิษย์ได้ลักน้ำมันนั้นทาตัวเข้า กลายเป็นเสือสมิงไปถึง ๓ คน พลัดเข้ามาในแขวงเมืองจันทบุรี ตัวหนึ่งเป็นเสือดุร้าย เที่ยวขบกัดคนตายที่พลิ้ว ๒ คน ที่ปากจั่น ๑ คน ที่ป่าสีเซ็น ๒ คน รวม ๕ คน อาจารย์เที่ยวตาม ได้บอกชาวบ้านว่าศิษย์สามคนลักน้ำมันเสือสมิงทาตัวเข้า กลายเป็นเสือไปทั้งสามคน บิดามารดาของศิษย์นั้นเขาจะเอาลูกของเขา จึงมาเที่ยวตามหา แล้วสั่งไว้ว่าใครพบปะเสือนี้แล้วให้เอาไม้คานตี ฤๅมิฉะนั้นให้เอากะลาครอบรอยเท้าเสือนั้น ก็จะกลับเป็นคนได้ แต่วิธีจะแก้นี้ทำได้ก็แต่เมื่อเสือนั้นยังไม่ทันกินคน รังควานทับเสียแล้ว ถึงจะทำวิธีที่บอกก็ไม่อาจกลับเป็นคนได้”
หลังจากอ่านไปแล้วก็ไม่อาจจะวางใจได้ว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เหตุเพราะอาจารย์ที่ว่านี้ เหตุใดจึงคิดจะทาน้ำมันที่ตัวคนเพื่อกลายให้เป็นเสือขึ้นมา เขาทำไปเพื่อประโยชน์อะไร เรื่องราวยังคงเป็นที่สงสัยว่าเหตุใดเสือลูกศิษย์จึงต้องวิ่งข้ามชายแดนมาไกลเท่านี้ ทำไมจึงไม่อยู่ที่เขมรเหมือนเดิม อีกอย่างที่ยังเป็นข้อสงสัยกันก็คือ เหตุใดเมื่อเสือกินคนไปแล้ว จึงไม่สามารถกลับคืนร่างเดิมได้ คำถามทั้งหมดยังคงไม่มีคำตอบ ทำให้พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงปักใจเชื่อในข่าวลือที่มีคนกล่าวถึงนี้เท่าไร อีกทั้งยังทรงบันทึกข้อความต่อไปอีกว่า
“…เหมือนเมื่อครั้งก่อนเรามาสัตหีบครั้งหนึ่ง น้ำจืดในเรือหมด ต้องเกณฑ์ให้ทหารขึ้นไปตักน้ำที่หนองบนบกไกลฝั่งประมาณ ๓ เส้น พวกชาวบ้านบอกว่าที่นี่มีเสือสมิงมาเที่ยวอยู่ พระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์มาติดตามเวลากลางคืน แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นตาลริมหนองน้ำนั้น คอยจะแก้ศิษย์ซึ่งกลับเป็นคน ในเวลานั้นก็ยังอยู่ พวกทหารพากันกลัว กลับมาเล่าจนเรารู้ เราอยากจะให้ไปตามตัวลงมาให้เห็นหน้าอาจารย์สักหน่อยหนึ่ง ก็เป็นเวลาดึกเสียแล้ว ครั้นเวลาเช้าก็ไปเสียจากสัตหีบ ท่านขรัวอาจารย์นั้นป่านนี้เสือมันจะเอาไปกินเสียแล้วฤๅอย่างไรก็ไม่รู้ “

เรื่องเล่าสยองขวัญ สาวปากฉีก ผีญี่ปุ่น

     
     
     
    สาวปากฉีก หรือ คุชิซาเกะอนนะ (「口裂け女」, Kuchisake onna, 口裂け女) เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก 

    สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยมั๊ย? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยนิ แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี 

    สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ

เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีจ้างหนัง

      คำชะโนด ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นสถานที่ ที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พญานาคาอาศัยอยู่ ชึ่งอยู่บริเวณวัดสิริสุทโธ เป็นที่น่าแปลกที่มีป่าขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยนานาพรรณไม้โดยเฉพาะ ต้นชะโนด อยู่กลางทุ่งนา ก่อนที่จะเข้าไปชมในบริเวณป่าคำชะโนด ผมได้รับข้อมูลจาก ท่านกำนันของหมู่บ้าน ว่าด้วยเรื่องที่มาและความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค กำนันเล่าให้ฟังว่า 



     “สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่อาศัยอยู่และเป็นสถานที่สู่เมืองบาดาลของพญานาคตามความเชื่อ” อีกทั้งบริเวณรอบศาลาเคยมีร่องรอยคล้ายๆรอยพญานาคอยู่ด้วย ซึ่งชาวบ้านต่างเชื่อว่านั้นคือร่องรอยพญานาค แต่ที่ทำให้ผมหูผึ่งและขนลุก กลับเป็นเรื่องเล่าที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้

     เรื่องเกิดขึ้นในราวเดือนมกราคม พศ. 2532 มีคนมาว่าจ้างให้หนังเร่ ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร โดยค่าจ้างตกลงกันไว้ 4000 บาท มีหนังฉาย 3-4 เรื่อง แต่มีข้อตกลงกันว่า ให้ฉาย 3 ทุ่มถึงแค่ตี 4 เท่านั้น ห้ามฉายถึงสว่าง พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย ซึ่งทางเจ้าของหนังแร่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง

     ทางเจ้าของก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ไปตามวันและเวลาที่ได้นัดหมายหนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3ทุ่ม ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด แต่พอ3ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง และคนทั้งหมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงหรือแสดงความรู้สึก เหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่วๆไป ฉายหนังบู๊ ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เฉยคนเราอย่างน้อยถึงเป็นคนจริงจังยังไงผมว่าต้องแสดงออกมาบ้างว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่นี้กลับอยู่ในอาการที่สงบ

     แต่ที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือปกติเวลามีการฉายหนังกลางแปลงในต่างจังหวัด ก็เหมือนกับมีงานเทศกาลสร้างความคลึกคลื้นให้คนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ร้านค้า ร้านอาหาร ต่างพากันมาเปิดเพื่อซื้อขายกันมากมาย งานนี้ กลับไม่มีเลย บรรยากาศโดยรอบดูเย็นยะเยือกไปหมด

     พอถึงตี 4 มีคนมาบอกว่าให้เก็บข้าวของไปได้แล้ว อีกทั้งยังสั่งว่าเมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ห้ามเหลียวหลังกลับมาดูเด็ดขาด พอทางเจ้าหน้าที่เก็บของและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทางออกจากที่ทำการฉายหนัง แต่ก็เอะใจในคำสั่ง เลยหันกลับไปดู เท่านั้นแหละพี่น้องครับพวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด หายไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาต่างฉงนสงสัย

     อีกทั้งพื้นที่ตรงนั้นกลับเป็นป่าทึบที่แม้ที่ๆ จะเอาจอหนังขึงยังแทบจะไม่มี พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อของที่ร้านค้า ชาวบ้านเลยถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา เจ้าหน้าที่ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย แม้กระทั่งเสียงยังไม่ได้ยิน

     เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืน ไปฉายหนังที่ไหนมา ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ไปฉายหนังที่ใน ดงคำชะโนดซึ่งเป็นสถานที่ลึ้ลับที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เองก็เลยเชื่อว่า”ถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า

    ”ปัจจุบันชาวบ้านเชื่อว่า ดงคำชะโนดเป็นที่อาศัยของพญานาคและเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะเข้าไป มีข้อห้ามเช่น ห้ามใส่รองเท้า หมวก แว่นตา และร่ม วันที่ผมเดินทางไปนั้นปรากฎว่าฝนตก นึกว่างานนี้เจอข้อห้ามอย่างนี้คงได้ ไข้หวัดกลับไปเป็นที่ระลึกแน่ แต่ยังดีที่สามารถใส่เสื้อฝนได้ 

     ทางเข้ามีรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร อยู่ช้ายขวาลำตัวยาวเข้าไปในป่าดง คำชะโนด ชึ่งคล้ายสะพานที่ทอดยาวผ่านท้องนาสู่ป่าที่ดูจากภายนอกแล้ว ลึกลับซ่อนแร้นน่าพิศวง ผมเดินสู่ดงคำชะโนด ด้วยความตรวจตราอย่างพินิจพิเคราะห์ ส่วนใหญ่พืชที่ขึ้นเป็น ต้นชะโนด ลักษณะคล้ายต้นหมาก ปาล์ม ต้นตาลและมะพร้าวมารวมกัน 

     เดินไปประมาณ 200-300 เมตร ก็จะพบศาล ที่มีผู้คนมาสักการะบูชา บริเวณใกล้มีฆ้องไว้ให้คนที่มาลูบ เชื่อว่าใครที่ลูบจนเกิดเสียงคนนั้นจะโชคดี ไม่ไกลกันนักเป็นบ่อน้ำที่เชื่อกันว่าเป็นเส้นทางที่จะไปสู่เมืองบาดาล ใครที่มีโอกาสได้มาอย่าลืมดื่มน้ำหรือเอามาพรม เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้หายจากโรคภัยและเสริมมงคลให้กับตัวเอง งานนี้ผมพลาดไม่ได้ที่จะปฎิบัติตาม เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เราสบายใจครับ ผมเดินกลับออกมาโดยที่ไม่กลับไปเหลียวหลังเพราะว่าบางที อาจจะไม่เห็น ดงป่าคำชะโนดนี้ก็เป็นได้

เรื่องเล่าสยองขวัญ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง กรุงเทพฯ

          สถานที่นี้เล่ากันว่า (เป็นตำนานนะครับ จริง ๆ อาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้) ได้รับบริจาคมาจากท่านเจ้าคุณ แล้วท่านเจ้าคุณเนี่ย เมื่อท่านปราบขุนโจรต่าง ๆ ได้ ท่านจะจับวิญญาณพวกมันเอาไว้ผูกติดกับที่ ไว้ให้ปกปักรักษา บางคนก็เลยเชื่อว่าที่ดินตรงนี้ มีผีเก่าผีแก่อยู่มากมายครับ เป็นผีที่อาฆาตแค้นเสียด้วย


          - ศาลในห้องน้ำ

          ศาลที่ว่านี้เดิมตั้งไว้ที่คณะวิศวะฯ ตึกเอ ชั้น 5 ครับ เห็นว่ากันว่าเคยมีสาวคณะสถาปัตย์ อกหักจากหนุ่มคณะวิศวะฯ แล้วเธอก็ได้มาผูกคอฆ่าตัวตายในห้องน้ำชั้น 5 ตึกนี้ และศาลดังกล่าว ก็ตั้งขึ้นเพื่อให้วิญญาณของเธอสงบครับ ห้องที่เธอใช้เข้าไปผูกคอตายนั้น เป็นห้องที่ใช้เก็บของสำหรับแม่บ้านในห้องน้ำครับ เห็นว่าทุกวันนี้ล็อกปิดตายไปเรียบร้อย (จริงเท็จยังไงไม่ขอฟันธงครับ แต่คืนที่ผมไป ห้องที่ว่านี้เค้าก็ล็อกไว้เช่นกัน) ตำนานของศาลในห้องน้ำนี่ก็มาก มายครับ เอาง่าย ๆ ลองคิดตามดู ว่าถ้ามีศาลตั้งไว้ในห้องน้ำ คุณกล้าเข้าไปไหม? ผมคนนึงล่ะครับ ไม่เอาแน่ ๆ ที่ดัง ๆ ก็มีเห็นนางรำ รำออกมาจากในศาล หรือไม่ก็ถ้าไปส่องกระจกในห้องน้ำห้องนี้ก็จะเห็นผู้หญิงคนที่เค้าผูกคอตาย
          เพื่อนผมคนหนึ่งทันช่วงที่ศาลยังอยู่บนห้องน้ำด้วยนะครับ มันเล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนที่ไปสอบที่ ม.ลาดกระบัง อยู่ในห้องสอบก็ปวดฉี่ แต่ยังสอบไม่เสร็จก็เลยอั้นไว้ สอบเสร็จก็วิ่งมาเข้าห้องน้ำไม่มองอะไรรอบ ๆ ทั้งนั้น พอเสร็จธุระหันกลับมาเท่านั้นแหละ อื้อหือ... เจอศาลเข้าเต็ม ๆ ไอ้เพื่อนผมก็หันไปมองตาผู้ชายอีกคนที่เข้าห้องน้ำมาด้วยกันครับ มองเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรแบบต่างคนต่างเข้าใจ แล้วก็ค่อย ๆ เดินออกไปจากห้องน้ำแบบสงบ (มันมาเล่าให้ฟังทีหลังครับ ว่าตอนเห็นศาลนี่ฉี่เกือบเล็ดออกมาอีกรอบ)
          ตำนานที่มาของศาลในห้องน้ำนี่มีอีกทฤษฎีนึงนะครับ นั่นก็คือเค้าว่าจริง ๆ ห้องน้ำห้องนี้ไม่เคยมีใครตายทั้งสิ้น ศาลที่เกิดขึ้นนั้นเค้าตั้งขึ้นมาเพราะตอนที่สร้างตึกวิศวะในห้องน้ำมีเสาตกน้ำมันข้อมูลตรงนี้ได้ถูกสนับสนุนโดยศิษย์เก่าท่านหนึ่งครับ เป็นรุ่นพี่รุ่นแรกที่ได้เรียนที่ ตึกวิศวะฯ หลังสร้างเสร็จ (ถ้าจะมีใครข้อมูลชัวร์สุด ก็คงคนนี้ล่ะครับ) เค้าเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกก็เป็นเสาตกน้ำมันธรรมดา ๆ นี่ล่ะ ซึ่งเมื่อมีเสาตกน้ำมันก็เป็นธรรมดาที่พวกแม่บ้านเค้าจะไปขูดหวยขอเลข พอถูกหวยหนัก ๆ เข้า ก็เลยสร้างศาลให้ตอบแทนเค้านั่นเอง
          ตอนนี้ศาลดังกล่าวย้ายลงมาที่ชั้น 5 แล้วนะครับ เป็นศาลปูนใหญ่โต ชื่อศาลว่า "ศาลเจ้าแม่ศรีแพรทอง" อยู่ด้านหลังตึกวิศวะตึกเอนี่เอง ใครผ่านไปผ่านมาแวะไปสักการะกันได้ครับ
          เรื่องราวดูเหมือนจะคลี่คลายนะครับ สำหรับตำนานศาลในห้องน้ำ ถ้าไม่มีบันทึกเมื่อ 40 ปีที่แล้วจาก สน. จระเข้น้อย ...ดาบตำรวจบุญเที่ยง สนธิ เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำ สน. จระเข้น้อย เล่าให้ฟังครับ ว่าเมื่อ 40 ปีก่อนนู้น ทั้งตำรวจ ทั้งอาจารย์ ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเคยมีนักศึกษาสาวผูกคอฆ่าตัวตายจริง เพียงแต่ไม่มีข้อมูลบันทึกไว้ว่าเธอเป็นใคร เพราะข้อมูลได้หายสาบสูญไปอย่างไม่ ทราบสาเหตุ ดาบตำรวจบุญเที่ยง สนธิ แกทิ้งท้ายไว้น่าฟังครับ ว่า "ถ้าเรื่องมันไม่มีส่วนจริง เค้าจะเล่ากันมาทำไมตั้งนาน" ก็ยังคงเป็นปริศนาดำมืดต่อไปครับ สำหรับเรื่องผีโคตรตำนานมหาวิทยาลัยไทย ศาลในห้องน้ำ

          - ห้องน้ำที่สตูดิโอ ตึกสถาปัตย์

          ที่มหาลัยนี้ผีในห้องน้ำดุครับ นอกจากวิศวะฯ แล้ว ห้องน้ำสถาปัตย์ก็ใช่ย่อย ห้องน้ำที่สตูดิโอ ตึกสถาปัตย์ เห็นว่าเคยมีนักศึกษาสาวต่างคณะคนหนึ่งไปประแป้งส่องกระจก ก็พูดกับเพื่อนว่า กระจกห้องน้ำห้องนี้ส่องแล้วสวยเนาะ ปัญหาคือห้องน้ำห้องนั้นมันไม่มีกระจกครับ เรื่องนี้น้องสาวสนิทผมคนหนึ่งยืนยันครับ เพราะเธอเจอมากับตัวว่าเห็นกระจกในห้องน้ำห้องที่ว่าจริง ๆ จนเพื่อนทักก็เลยกลับไปดูอีกที ซึ่งพอกลับไป ก็ไม่พบกระจกใด ๆ ในห้องน้ำแล้ว (หลาย ๆ คนก็ยังสงสัยครับ ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ติดกระจก)
          - ตึกทรงไทย สถาปัตย์

          เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่ามากแล้วครับ คือมันจะมีทางเดินเส้นหนึ่งครับ เชื่อมระหว่างตึกสถาปัตย์ไปยังตึกทรงไทย เป็นทางเดินตรงยาว มีซุ้มหลังคา เรื่องนี้เห็นว่ามีคนพบเจอกันเยอะมากครับ เล่าว่าตอนกลางคืนเด็กทำงานกันเสร็จก็เดินจะกลับหอ พอเดินมาถึงบริเวณทางเดินอันนี้ มีหลายคนเลยครับบอกว่าพบผู้หญิงในชุดรำไทยเต็มยศ ยืนขวางทางเดินอยู่ แล้วพอเราอึ้งได้ซักพัก ผู้หญิงคนนี้เค้าจะรำ ไม่ได้แค่รำอย่างเดียวนะครับ ระหว่างที่รำ เท้าของเธอจะลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ รำไปลอยไป จนศีรษะของเธอติดหลังคา เธอก็ยังไม่ยอมหยุดลอยครับ ยังคงรำไปลอยต่อไปเรื่อย ๆ จนคอเธอหักคาหลังคา
          เรื่องนี้เห็นว่าแต่ก่อนนี่โดนกันเยอะจริงๆครับ จนทางมหาลัยต้องนำเอาหลังคาที่ว่านั้นออกไป (เหมือนกับหลังคาตรงนี้น่าจะไปสร้างทับที่เค้า) ผมไปดูทางเดินตรงนี้มาเล่นเอาขนลุกเลยครับ เพราะเจอตอคล้าย ๆ เสาเชื่อมหลังคาเป็นจุด ๆ หลายอัน สรุปหลังคาเคยมีครับ แล้วโดนตัดออกไปนี่ผมยืนยันเลยว่าเรื่องจริง แต่จะโดนตัดออกไปเพราะอะไร ตรงนี้ไม่ทราบครับ...
          ตอนที่อยู่ที่ตึกทรงไทย ข้าง ๆ กันก็มีชมรมซ้อมดนตรีไทยกันอยู่ครับ (ตอนแรกก็หลอนแหละ ได้ยินเสียงดนตรีไทยนึกว่าโดนแล้ว) จนขากลับมาคุยกับคุณฟิล์มเพื่อนผม มันบอกร้องเอื้อนได้น่ากลัวเป็นบ้า ผมก็เหวอสิครับ เพราะไอ้เสียงดนตรีไทยที่ได้ยินกันตั้งหลายคนน่ะ มันไม่มีเสียงเอื้อนอะไรเลยนะเว้ยยย ก็กลับไปถามทันทีครับ ว่าที่พี่ ๆ เค้าเล่นดนตรีกันอยู่มันมีท่อนเอื้อนด้วยรึเปล่า คำตอบคือไม่มีครับ (แล้วที่ฟิล์มได้ยินมันคืออะไรรรรร !!??) ฟิล์มเล่าว่า เป็นเสียงเอื้อนตามเพลงของผู้หญิงครับ เอื้อนได้เหงาจับจิตเลย
          สำหรับเรื่องสุดท้ายที่ได้ยินมา ผมว่าเพ้อเจ้อไปหน่อยครับ 55555 ที่ห้องเคมี 1 ตึกวิทย์เก่า ว่ากันว่าเคยมีนักศึกษาทำแล็บ แล้วพลาดเกิดระเบิดขึ้น จากนั้นวันดีคืนดีพี่ยามจะเห็นภาพหลอน เหมือนห้องแล็บนั้นระเบิดแสงวาบขึ้นมา เสียงดังสนั่น แต่พอมองอีกทีก็ไม่มีอะไรปกติ

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าสยองขวัญ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) สงขลา

          มอ.หาดใหญ่นี่ นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยแล้ว ยังเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดอีกด้วยนะครับ (เช่นกันครับ ที่นี่คือโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้) เพราะงั้นเรื่องคนเจ็บคนตายนี่หายห่วง มีมาให้เห็นกันทุกวัน 
 
 
 
          - ด้ายแดง

          เริ่มกันที่ ตึก MNL ครับ เป็นตึกสำหรับวิชากายวิภาคศาสตร์ ก็แปลว่าเป็นตึกที่ใช้เก็บรักษาร่างของอาจารย์ใหญ่นั่นเอง (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาคครับ ใช้ทำการผ่า ทำการศึกษาผ่านร่างกายจริง นักศึกษาจึงเรียกร่างเหล่านี้ว่าอาจารย์ใหญ่ ในฐานที่อุทิศร่างกายให้พวกเค้าได้เรียนรู้ ว่ากันว่าใครที่บริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่นี่จะได้บุญน่าดู) สำหรับตำนานของตึกนี้เค้าก็เล่ากันมาว่า...
 
          เคยมีนักศึกษาปี 1 ครับ ก็มาเรียนที่ตึกเป็นวันแรก ไปถามยามว่าลิฟต์อยู่ทางไหน ยามก็บอกทางไปตามปกติ ก่อนจากนักศึกษาคนนั้นสังเกตเห็นว่า ที่ข้อมือของยามคนนี้ มีด้ายสีแดงผูกอยู่ เป้าหมายของนักศึกษาคนนี้อยู่ที่ชั้น 5 ครับ ก็กดลิฟต์เปิดเข้าไป กดชั้น 5 แต่ลิฟต์กลับไปเปิดที่ชั้น 2 (ชั้น 2 จะเป็นชั้นที่ใช้เก็บร่างอาจารย์ใหญ่ครับ ซึ่งตอนนั้นไอ้น้องคนนี้ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะไม่รู้เรื่อง มาเสียวแทบช็อกเอาตอนรู้ทีหลัง ว่าทำไมลิฟต์ถึงได้จอดชั้นนั้น) เรียนเสร็จลงมาก็ไม่เจอยามคนนั้นแล้วครับ และก็ไม่เคยได้เจอแกอีกเลยไม่ว่าจะกลับไปเรียนที่ตึกอีกกี่ครั้ง จนในที่สุด ก็ได้มารู้ความจริงจากปากรุ่นพี่ว่า ที่ตึก MNL ไม่เคยมียามประจำการอยู่ (!?) ก็งงสิครับ แล้วยามคนที่เค้าเห็นคืออะไร ก็เลยเล่าให้รุ่นพี่ฟัง จนมาได้รู้ความจริงว่า การผูกด้ายสีแดงที่ข้อมือน่ะ คนเป็นจะไม่ผูกกัน ด้ายแดงจะใช้สำหรับผูกข้อมืออาจารย์ใหญ่ (ผมได้ไปสถานที่จริงมาด้วยนะครับ กลางคืนเข้าไม่ได้ เลยต้องกลับไปอีกทีตอนกลางวัน ไปเดินชั้น 2 มา รอบๆสองข้างทางก็แบ่งเป็นห้อง ๆ ล่ะครับ แอบเห็นห้องปฏิบัติการแวบนึงด้วย (ห้องผ่า) บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบแบบพิลึก ๆ ชวนวังเวงโดยไม่มีเหตุผล)
 
          - ตึกฟักทอง

          มากันที่ภาคเคมีของคณะวิทยาศาสตร์ครับ ที่นี่จะมีตึกที่เปรียบเป็นดั่งสัญลักษณ์ ของมหาลัย คือตึกฟักทอง (ตามชื่อเลยครับ ตึกจะมีรูปร่างเป็นฟักทอง) ตึกฟักทองนี่มีตำนานด้วยนะครับ เห็นว่าถ้าเด็ก ม.6 เตรียมเอนท์มาเดินนับกลีบ เค้าว่าจะเอนท์ไม่ติด ขณะเดียวกันถ้าเป็นนักศึกษาของมหาลัย มาเดินนับกลีบก็จะเรียนไม่จบ ห้องหับใต้ตึกฟักทองจะเรียกเป็น L1-L5 ทั้ง 5 ห้องนี้จะมีม่านเป็นสีน้ำเงินหมดครับ แต่จะมีเพียงห้องเดียวที่มีม่านเป็นสีดำ ว่ากันว่าเคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยเสียชีวิตลงที่ห้องนั้น ทางคณะก็เลยไว้อาลัยให้ ด้วยเปลี่ยนม่านเป็นสีดำ (ใครเรียนอยู่ที่นั่น ว่าง ๆ ลองไปเดินสำรวจดูนะครับ ผมไปมาละ มีห้องหนึ่งม่านสีต่างจากห้องอื่นจริง ๆ) ใต้ตึกฟักทองนี่ก็ตำนานเยอะพอตัวเลยครับ ทั้งว่าหากไปอ่านหนังสือวิชาเคมีตอนดึก ๆ แล้วจะมีวิญญาณอาจารย์วิชาเคมีที่เสียไป มาสอนพร้อมสมุดปกสีแดง (ตอนไปนี่เจอคนนึงครับ เล่าให้ฟังว่าเคยนั่งอ่านหนังสือดึก ๆ แล้วเห็นควันลอยออกมาจากเสาไม้)
 
          - ควนมดแดง

          คำ ว่าควน สำหรับคนใต้ก็หมายถึงเนินเตี้ย ๆ ครับ ที่ตึกวิศวะจะมีถนนเส้นเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง มุ่งไปยังเนินที่เรียกว่า "ควนมดแดง" ระหว่างถนนสองข้างทางก็ป่ารกทึบล่ะครับ มาตอนกลางคืนมองไปไม่เห็นอะไรเลย ตำนานที่ควนมดแดงนี่น่ากลัวนะครับ ฟังแล้วไม่กล้าไปลองคนเดียวเหมือนกันจ๊ะ นักศึกษาที่ มอ. เล่าให้ฟังครับ ว่าเคยมีรุ่นพี่กลับจากเตะบอลตอนดึก ๆ ก็เดินขึ้นควนมดแดงมา ระหว่างทางก็เป็นป่ามืด ๆ ครับ จะมีแสงไฟก็เพียงจากเสาไฟฟ้า ที่ต้นหนึ่งทิ้งห่างกันพอสมควร และก็ที่เสาไฟต้นที่ 3 นี่ละครับ ที่พี่เค้าเห็นนักศึกษาผู้หญิงคนนึงกวักมือเรียกให้ไปหา พอเดินเข้าไปผู้หญิงคนนี้ก็เงยหน้าที่มีเลือดโชก แล้วก็หายไป
 
          คนเก่าคนแก่เล่าให้ฟังครับ ว่าผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นนักศึกษาที่ถูกคนงานฆ่าข่มขืนสมัยที่สร้างตึกวิศวะฯ ขึ้นมานั่นเอง พวกผมได้ไปลองเดินที่ควนมดแดงที่ว่านี้ด้วยนะครับ ซึ่งสถานที่จริงเปลี่ยวโคตร น้องสาวผมคนนึงก็ได้ไปลองยืนที่เสาไฟต้นที่ 3 มาครับ ไปยืนแล้วก็โบกมือเลียนแบบตามตำนาน ก็ไม่พบอะไรครับ แต่ระหว่างโบกได้ยินเสียงวี้ดแหลมสูงเป็นระยะ ทั้ง ๆ ที่ก่อนไปยืนที่เสาไม่มีเสียงอะไรเลยก็แปลก ๆ นะครับ
 
          ก่อนจะไปถึงเรื่องสุดท้ายผมขอทิ้งไว้ เรื่องครับ ด้วยความที่ มอ. หาดใหญ่มีโรงพยาบาลอยู่ในตัว ก็เลยจะมีเรื่องผีพยาบาล ผีคุณหมอ ผีคนไข้อะไรมากมายครับ ซึ่งหลาย ๆ เรื่องก็สมจริงบ้าง เหนือจริงบ้าง และวิธีที่เค้าว่าถ้าอยากเห็นผีเหล่านี้ ก็ให้ไปตามตึกต่าง ๆ และมองลอดหว่างขาไปที่ดาดฟ้า ถ้าดวงดีจริง ๆ เค้าว่าผีสาวพยาบาลชุดขาวทั้งหลาย จะมีน้ำใจโผล่มาให้เห็นครับ มาถึงเรื่องสุดท้ายแล้วนะครับ ผมว่าตำนานเรื่องนี้ ทุกคนน่าจะเคยมีโอกาสได้ยินกันมาบ้างสักครั้งในชีวิต มาหาดใหญ่ครั้งนี้ผมประทับใจ หลายอย่างครับ ทั้งโรตีทิชชู ทั้งไก่ทอดหาดใหญ่ต้นตำรับ ทั้งร้านน้ำชาที่อลังการมาก แต่ที่ประทับใจที่สุด ก็คือการที่ได้มาลองของกับโคตรผีในตำนานของไทย คุณยายสปีดครับ
 
          ยายสปีดนี่ไปจังหวัดไหน จังหวัดนั้นต้องอ้างว่าจังหวัดตัวเองมียายสปีดครับ แต่ของแท้และดั้งเดิมต้องที่นี่ครับ หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่นี่มีซอย ๆ หนึ่ง ชื่อซอยว่า ซอยคุณยายสปีดครับ ไปไล่สัมภาษณ์มาหลายคน ทุกคนตอบเหมือนกัน ว่าตั้งแต่จำความได้ ก็รู้จักคุณยายสปีดแล้ว เรื่องเล่าเกี่ยวกับวีรกรรมของยายคนนี้แกเยอะมากครับ ทั้งยายเค้าไม่ชอบเสียงท่อเสียงดัง ๆ ยายไม่ชอบเด็กแว้น เข้าซอยยายห้ามขี่เกิน 40 เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเคยบอกไว้ว่า ก็มีเด็กแว้นมาเทสต์รถกัน ก็หมอบมาเลย 120 หันหลังไปมองเห็นคุณยายไล่ตามมาติด ๆ ล้อเลย แต่ยายไม่ได้วิ่งมาครับ ยายคลานมาเพราะยายแกมีแต่ตัว ไม่มีช่วงล่าง (เห็นว่ายายตายเพราะโดนรถมอเตอร์ไซค์ชนจนตัวขาดครึ่ง) ด้วยเหตุที่เล่ามานี้ล่ะครับ แกจึงถูกเรียกว่า คุณยายสปีด
 
          ซอยยายสปีดนี้ จะเป็นซอยเล็ก ๆ ครับ และในซอยนี่ถนนเรียบมาก เป็นทางยาวตรง เหมาะแก่การนำรถมาแข่งกันอย่างยิ่ง ในซอยนี่ก็บอกเลยว่าสยองมาก จากต้นซอยเราจะพบกับวัดถาวรครับ ซึ่งส่วนของป่าช้าจะติดกับริมถนนพอดี ทั้งโกศ ทั้งกูโบร์นี่เพียบ เลยมาหน่อยจะเป็นวัดจีน ถัดจากวัดจีนก็จะเป็นจุดที่เค้านำศาลมาทิ้งกัน (ตรงนี้กลางคืนนี่โคตรหลอนครับ ทั้งศาลไทย ศาลจีน ตุ๊กตา กุมาร ของไหว้ โอยยย) ตำนานยายสปีดนี้แม้จะมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ก็ไม่มีใครรู้ที่มาที่ชัดเจนครับ ว่ายายแกเป็นใคร เห็นรู้แต่ว่าแกตายขณะจะเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม (ตอนนี้เป็นโลตัสแล้ว) แล้วยายโดนมอเตอร์ไซค์ที่แข่งกันมาชนเอา
 
          สำหรับผมเองถ้าเป็นเรื่องเล่าที่มีมูลมาขนาดนี้ เล่ากันมาแต่โบราณขนาดนี้ มีสิทธิ์สูงที่เป็นเรื่องจริงครับ คล้าย ๆ เรื่องศาลที่ลาดกระบัง ที่ไม่มีใครรู้ที่มาชัดเจน แต่เล่ากันมานาน ขนาดตำรวจรุ่นเก๋ายังเคยได้ยิน

เรื่องเล่าสยองขวัญ สถาบันการบินพลเรือน (ฝั่งตรงข้ามสวนจตุจักร) กรุงเทพฯ

          ก็ตามชื่อนะครับ การเรียนการสอนที่นี่ หลัก ๆ ก็เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการบิน ภายในตัวสถาบันก็ไม่ใหญ่โตมากมายอะไรครับ มีเครื่องบินตั้งโชว์ให้เห็นเป็นระยะ ๆ (ความรู้สึกคล้าย ๆ เดินงานวันเด็กอยู่เหมือนกัน) ที่นี่เค้าจะไม่เรียกเด็กของเค้าว่านักศึกษานะครับ แต่จะเรียกว่า ศูนย์ฝึกฯ คืนที่ผมไป มีโอกาสได้ทันไปเห็นเค้ารับน้องกันพอดีครับ ที่นี่รับน้องกันน่ารักมาก น้องปี 1 จะเดินกลับบ้านกันเป็นแถว สองข้างทางก็จะมีรุ่นพี่คอยตะโกนให้กลับบ้านดี ๆ นะน้อง กลับบ้านปลอดภัยนะน้อง เรียกได้ว่าประทับใจตั้งแต่แรกเห็น สถาบันน่ารัก แต่ผีที่นี่จัดว่าโหดครับ

          - ห้องเรียนกระจก 

          ใครอยากมาลองของที่นี่เค้าจัดไว้ให้อย่างเป็นระเบียบครับ ผีทุกตัวรวมกันอยู่ที่ตึก CM ไม่ต้องกลัวจะเหนื่อย เดินเปลี่ยนไปตึกนั้น มาตึกนี้ ชั้น 2 ตึก CM จะมีห้องเรียนอยู่ห้องหนึ่งครับ จะเป็นห้องที่กระจกเยอะที่สุด พี่บอลรุ่นพี่ศูนย์ฝึกฯ ของที่นี่เล่าให้ฟังว่า เมื่อวันงานกีฬา ทางพวกผู้ชายแข่งเสร็จก็สบายครับ เปลี่ยนเสื้อผ้าตรงไหนก็ได้ แต่ผู้หญิงเค้าก็ต้องหาที่มิดชิดนิดนึง ก็เลยขึ้นมาชั้นสอง กะจะมาเปลี่ยนที่ห้องนี้ พี่บอลเล่าว่าจังหวะที่น้องเค้าเปลี่ยนเสื้อเสร็จ ออกจากห้องมากำลังจะปิดประตู (ประตูเป็นแบบเปิดเข้าข้างใน) ประตูก็ถูกดึงกลับครับ เหมือนกับว่ามีคนดึงสวนไปอีกทาง น้องผู้หญิงคนนี้ก็ตกใจครับ เพราะในห้องไม่มีใครนี่นา แต่พอชะโงกหน้าไปดูกลับตกใจยิ่งกว่าครับ เพราะเธอเจอผู้ชายร่างท้วมยืนจังก้ามองเธออยู่ (จำผีผู้ชายร่างท้วมคนนี้ไว้ดี ๆ นะครับ)

          - ล็อกเกอร์ 

          ความเก๋ของตึก CM คือจะมีตู้ล็อกเกอร์ใว้ให้ศูนย์ฝึกฯ แต่ละคนใช้เก็บของครับ อารมณ์นี้ใครเคยเรียนโรงเรียนประจำน่าจะพอนึกภาพออก แต่ขณะเดียวกันเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุด ทุกคนเคารพที่สุด ก็คือเรื่องของล็อกเกอร์ที่ผมกำลังจะเล่านี่ล่ะครับ

          ตู้ล็อกเกอร์อันปัจจุบันนี้จะเป็นตู้ใหม่ครับ เป็นตู้สีเหลือง เหตุผลที่นำมาใช้แทนตู้เก่าไม่มีใครทราบแน่ชัด และตู้เก่าก็ไม่ได้ย้ายไปไหนไกลเลยครับ อยู่ข้างหลังตู้ใหม่นี่เอง ตู้ล็อกเกอร์อันใหม่นี้ เป็นตู้ที่ศูนย์ฝึกฯ ทุกคนใช้กันเป็นเรื่องปกตินะครับ ตู้ใครตู้มัน จะมีจุดที่ไม่ปกติก็คือ บนตู้มีน้ำแดงสำหรับไหว้เพียบเลยครับ ! มีเยอะขนาดเต็มตั้งแต่หัวตู้ไปยันท้ายตู้ แถมด้วยสายสิญจน์พันกันระโยงระยางเลยครับ เห็นครั้งแรกผมสงสัยมากว่าเค้าไหว้อะไรกัน เจ้าที่ที่ไหนมาประจำการอยู่ตู้ล็อกเกอร์ ? จนมารู้ตำนานว่าเคยมีรุ่นพี่ศูนย์ฝึกฯ คนหนึ่ง มอเตอร์ไซค์คว่ำเสียชีวิตระหว่างกำลังมาเรียน แต่จากนั้นเช้า ๆ ก็ยังมีคนเห็นพี่คนนี้เอาเสื้อผ้า เอาของมาเก็บที่ล็อกเกอร์ ยิ่งช่วงตายใหม่ ๆ แม่บ้านเห็นกันจนไม่เป็นอันทำงาน ก็สันนิษฐานว่าน้ำแดงเหล่านี้อาจจะมีไว้เพื่อรุ่นพี่คนนี้นี่เอง (คาดว่านะครับ ที่มาแท้จริงของการไหว้น้ำแดงอาจจะเดือดกว่าเรื่องนี้ก็ได้)

          กลับมาที่เรื่องเล่าของพี่บอลครับ พี่บอลบอกว่าเคยมีเพื่อนเค้าคนนึง ก็เมา ๆ มาล่ะครับ ขึ้นมาก็ท้าทายตามประสาคนเมาเต็มที่ เดินไปหยิบเอาน้ำแดงบนตู้มาดื่ม เพื่อนก็ถามรสชาติเป็นไง ไอ้คนดื่มก็บอก "จืดว่ะ" พอสิ้นเสียงจืดว่ะเท่านั้นแหละ พี่บอลบอกมันลงไปนอนดิ้นเลย 
          
          เรื่องของตู้ล็อกเกอร์ยังไม่จบครับ แต่อันนี้เป็นเรื่องของตู้เก่าที่อยู่ด้านหลัง ตู้เก่านี่สภาพน่ากลัวมากครับ ตู้สีเทาดั้งเดิม สนิมเกรอะกรัง คือเอาไปเข้าฉากในหนังผีได้เลยอะ พี่บอลเล่าว่าเคยมีผู้หญิงคนนึง ก็ขึ้นมาเก็บของที่ล็อกเกอร์ของเขา ก็เปิดล็อกเกอร์ (นึกภาพตามนะครับ เปิดฝาตู้ล็อกเกอร์ บานฝาตู้ก็เปิดออกทางขวา ทีนี้เราจะไม่เห็นอะไรทางขวาของเราละ เพราะฝาล็อกเกอร์มันบัง) ก็เก็บของไปตามเรื่องครับ ไอ้จังหวะปิดล็อกเกอร์นี่แหละ ที่ปิดปั๊บหันขวาไปเจอผู้หญิงยืนอยู่ ยืนเฉย ๆ ก้มหน้า ไว้เล็บยาวสีแดง... (จำผู้หญิงเล็บแดงคนนี้ไว้นะครับ)

          เรื่องต่อมานี่เกิดต่อเนื่องมาจากวีรกรรมของพวกเราครับ เราไปลองของที่ตู้ล็อกเกอร์นี้มา (ขอไม่เล่านะครับว่าทำอะไรไปบ้าง เดี๋ยวจะโดนเด็กศูนย์ฝึกฯ ที่นี่ไม่พอใจเอา) ลองเสร็จก็ลงจากตึกครับ พอลงมาก็มีรุ่นน้องของพี่บอลทัก ว่ามีผู้หญิงตามพวกเราจากบนตึกลงมา ผมก็ถามว่าผู้หญิงคนไหน ขึ้นไปกันแต่ผู้ชาย น้องมันบอกเค้าเป็นผู้หญิงคนที่พี่พูดถึงบนตึก ซึ่งบนตึก ผู้หญิงที่พวกผมพูดถึงมีแค่คนเดียวเลยครับ คือผู้หญิงเล็บแดงในเรื่องเล่า !!! ผมก็ถามต่อเลยครับ ว่าตอนนี้ผู้หญิงที่ว่าเค้ายังอยู่รึเปล่า น้องก็บอก เค้าขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้ว มาถึงขนาดนี้จากที่กำลังจะกลับพวกผมก็เลยจะขึ้นตึก CM ไปอีกรอบครับ ขึ้นไปดาดฟ้า ขาขึ้นรอบสองนี่กลัวเหมือนกันนะครับ เพราะจำได้ว่าเวลาดูหนังจะโดนผีหลอกส่วนใหญ่ก็รอบสองแบบที่กำลังทำนี่แหละ

          ก่อนอื่นขอเล่าเกี่ยวกับดาดฟ้านิดนึงครับ ก็เป็นเรื่องผีโดดตึกทั่วไปครับ แต่ที่ต่างไปจากมหาวิทยาลัยอื่นคือผีที่นี่มันโดดทุกจุดครับ จะระเบียง จะหน้าต่าง ดาดฟ้าเคยมีคนเห็นมาหมดแล้ว แต่จุดที่เห็นบ่อยสุดจะเป็นดาดฟ้าที่เรากำลังขึ้นไป และรูปร่างของผีโดดตึกตัวที่ว่านี้ เค้าว่าเป็นผู้หญิงผมยาวยืนก้มหน้าก่อนโดดครับ

          ตอนที่ขึ้นไปถึงชั้น 2 กลุ่มน้อง ๆ พี่บอลก็ขออ้อมไปอีกทางครับ ไม่กล้าเดินผ่านตู้ล็อกเกอร์ ก็อ้อมไปเจอพวกผมอีกฝั่ง พอขึ้นมาเจอกันปุ๊บ ผมก็ถามเดินอ้อมทำไม กลัวขนาดนั้นเลยหรอ น้องมันบอกไม่กล้าเดินผ่านตู้ เค้ายืนจ้องอยู่ ผมก็ตกใจครับ อะไรจะเฮี้ยนขนาดนั้น ก็ถามเค้ายืนตรงไหนนะ ? น้องบอกตรงที่ผมเดินผ่านตู้มาเมื่อกี้ แถมผมยังเดินทะลุตัวเค้ามาด้วย ก็ถามว่ารูปร่างเป็นยังไง ชายหรือหญิง น้องมันบอกเป็นผู้ชายร่างท้วม (ยังจำผู้ชายร่างท้วมตอนต้นเรื่องได้ไหมครับ) พอถึงตรงนี้ผมก็เลยเล่าครับ ว่าไปทำอะไรตรงล็อกเกอร์ไว้บ้าง ทีนี้พวกน้องกลุ่มนี้ยิ่งกลัวหนัก น้องคนนึงที่ดูท่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก็บิวท์ใหญ่เลยทีนี้ ทั้งเตือน ทั้งห้าม ว่าอย่าขึ้นไปดาดฟ้าเลย บิวท์จนพวกผมเองหลายคนก็ชักเริ่มกลัว


          นี่คือคำพูดของน้องคนนี้ที่เตือนพวกผมครับ (ถ้าถามว่าทำไมจำได้เป๊ะขนาดนี้ คือพวกผมถ่ายวิดีโอกันไว้ด้วยน่ะครับ) "ที่ตรงนี้ ไม่มีใครกล้าท้า ไม่มีใครกล้ายุ่ง คนที่ตายเค้ามีตัวตนจริง ๆ คนที่เล่าก็เป็นอาจารย์ที่เป็นที่เคารพนับถือ พวกคุณไปดื่มน้ำของเค้า ผมไม่รู้หรอกนะว่าคิดอะไรอยู่ พวกผมอยู่ที่นี่กันทุกวัน มีโอกาสทำมากกว่าพวกคุณอีก ผมยังไม่กล้าทำเลย คือมันเกินลิมิตอ่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเล่นกันแล้ว" แต่สุดท้าย พวกผมก็ตัดสินใจขึ้นไปดาดฟ้าต่อครับ โดยเหลือกันแค่พวกตัวเอง 4 คนเท่านั้น น้องที่เหลือถอยลงตึกไปหมดแล้ว

          จากตรงนี้ผมไม่สามารถเล่าต่อได้แล้วครับ ขอโทษจากใจจริง ๆ เลย เพราะด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง คำสัญญาหลาย ๆ อัน ที่ให้ไว้กับเด็กศูนย์ฝึกฯ ของสถาบันนี้ คำสัญญาว่าจะไม่เอาไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด ว่าข้างบนดาดฟ้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาเป็นว่าจากเรื่องเล่าทั้งหมด ก็สรุปได้ว่าเรื่องผีของที่นี่น่าจะเกิดมาจากผีแค่ 2 ตัวเท่านั้นครับ คือผีร่างท้วมกับผีสาวเล็บแดง ที่คงสามารถแยกตัวไปจุดนั้นจุดนี้ได้ จนเรื่องผีมันเพิ่มขึ้นมานั่นเอง

เรื่องเล่าสยองขวัญ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ

สำหรับที่นี่ ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าผีดุครับ เหตุเพราะมีเรื่องผี มีเรื่องเล่าเยอะ แต่ยังไม่เคยมีใครประสบพบเจอกับตัวเอง แต่สำหรับตัวผม ขอยกให้มหาวิทยาลัยนี้ตื่นเต้นที่สุดครับ เหตุเพราะมีผู้หญิงคนที่ผมแอบชอบ ร่วมเดินทางมาลองของด้วย (โอ๊ย !!) การมาลองของที่มหาวิทยาลัยนี้ ผมก็ได้ความช่วยเหลือจากชมรมดนตรีลูกทุ่งของที่นี่ครับ ซึ่งได้ส่งน้องโชน นักศึกษาคณะประมงปี 2 มาเป็นผู้นำทาง (น้องโชนนี่พอได้เจอตัว บอกเลยน้องเค้าเหมาะเรียนประมงจริง ๆ ครับ ทั้งรูปร่างและสีผิว คือถ้าเดินลากอวนมาด้วยนี่ก็ออกทะเลได้เลยแหละ)

          - จะมีตึกอยู่ตึกหนึ่งครับ (ขอสงวนชื่อตึกครับ น้องเค้าขอมา)

          ว่ากันว่าเมื่อตอนก่อสร้างดำเนินมาถึงขั้นทาสี ก็ได้มีคนงานเกิดเสียชีวิตลง โดยก่อนเสียเค้าได้ทาสีค้างไว้ยังไม่เสร็จ อาถรรพ์เกิดขึ้นเมื่อคนงานคนที่มาทาสีต่อจากเค้าก็เสียชีวิตลงตามไปเช่นกัน จนเกิดเป็นเรื่องเล่าขานว่าหากใครมาทาสีตรงจุดนี้ จะมีอันเป็นไป ผมได้ไปดูที่เกิดเหตุมาครับ ลักษณะกำแพงเป็นจุดด่าง ๆ ไม่ได้ทาสีจริงอย่างที่ว่า และก็ลองเอาสีไปทาทับมาด้วยครับ ทาไปตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงวินาทีนี้ผมก็ยังไม่ตายครับ ยังมานั่งพิมพ์เรื่องผีให้ทุกท่านอ่านกันเพลิน ๆ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงครับ

          - ตู้โทรศัพท์ข้างตึกวิทย์ฯ 

          ตรงข้างตึกคณะวิทยาศาสตร์จะมีตู้โทรศัพท์แบบหยอดเหรียญอยู่ครับ เค้าเล่ากันว่ามีคนเคยเห็นนักศึกษายืนอยู่ในนั้น แต่นักศึกษาคนดังกล่าวไม่มีหัว

          - Loving Way  

          เรื่องผีแฝงความโรแมนติกแห่งมหาวิทยาลัยนี้ครับ เป็นอีกเรื่องที่หากค้นหาหัวข้อเรื่องผีเกษตรศาสตร์ ทุกเว็บต้องมีเรื่อง เลิฟวิ่ง เวย์ รวมอยู่ด้วย ถนนเส้นนี้เด็กเกษตรฯ ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีครับ เพราะเชื่อว่าหากกลางวันหนุ่มสาวมาปั่นจักรยานซ้อนกัน ดวงชะตาก็จะนำพาให้ได้เป็นแฟนกัน แต่หากมาปั่นกลางคืน โดยคนปั่นกับคนซ้อนนั่งหันหลังชนกัน เค้าว่าคนที่ซ้อนจะเห็นอะไรบางอย่างระหว่างปั่นอยู่ในถนนเส้นนี้ครับ

          - พ.ว. 9 ศพ 

          เรื่องนี้เกิดขึ้นข้าง ๆ รั้วมหาวิทยาลัยครับ หากใครยังจำกันได้ เมื่ออดีตเคยมีข่าวเด็กสาวคนหนึ่งได้ซิ่งรถเก๋งชนเข้ากับรถตู้โดยสารบนทางด่วน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตร่างกระเด็นออกมานอกตัวรถ สภาพศพกระจัดกระจาย
รวมแล้วเสียชีวิตถึง 9 ศพด้วยกัน จากภาพข่าวนี่น่ากลัวมากครับ บางคนนี่ร่างห้อยคาอยู่กับสะพายลอยเป็นที่พรั่นพรึงอย่างยิ่ง


          เรื่องต่อไปนี้ พี่วินมอเตอร์ไซค์ข้างสะพานลอยดังกล่าว เป็นผู้เล่าให้ฟังครับ ว่าช่วงหลังเกิดเหตุใหม่ ๆ นี่เฮี้ยนมาก จะต้องได้ยินเสียงดังกระแทกบนสะพานลอยเวลาเดิม ๆ ทุกวัน (เสียงเหมือนศพตกลงมากระแทกสะพาน) บางคนโดนถึงกับว่า มีผู้โดยสารเรียกให้ไปส่ง พอถึงที่หมายหันกลับมาไม่มีใคร พี่วินแกยังเล่าว่ามีช่วงนึงที่ตกเย็นปั๊บ ไม่มีวินคนไหนกล้าอยู่กันเลยล่ะครับ ขอกลับบ้านไปอยู่กับลูกกับเมียดีกว่า ผมไปดูสะพานที่ว่ามาด้วยครับ เมื่อราว ๆ ปีครึ่งถึง 2 ปีที่แล้ว ตามยอดต้นไม้ติดกับสะพานยังมีสายสิญจน์พันอยู่เลยนะครับ สร้างความกดดันตั้งแต่ยังไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว พอเดินขึ้นไป (เวลาราวเที่ยงคืน) ก็ยอมรับล่ะครับ ว่าจากเรื่องเล่าที่ได้ฟัง จากประวัติที่มีผู้เสียชีวิตตรงนี้จริง ๆ ทำให้ประสาทหลอนเตลิดไปได้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ถ้าใครเคยเห็นจุดเกิดเหตุจะเข้าใจครับ ว่ามันไม่น่ากลัวแม้แต่น้อย รถข้างล่างนี่วิ่งกันขวักไขว่ตลอด

          แต่ตอนนั้นจะก้าวเท้าได้แต่ละก้าวนี่บอกเลยว่าหนักมากครับ ความกลัวกดทับ ตรงจุดที่มีคนตกลงมาเสียชีวิตห้อยติดกับสะพาน ยังมีดอกไม้มาลัยอยู่เลยนะครับ สภาพยังใหม่ด้วย

          -  อนุสาวรีย์สามบูรพาจารย์ หรือ อนุสาวรีย์สามเสือแห่งเกษตร 

          เป็นอนุสาวรีย์รูปเหมือนของสามบูรพาจารย์ ผู้ริเริ่มสถาปนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ครับ เรื่องเล่าบอกว่าทั้งสามท่านนี้ชอบเล่นหมากรุกมาก หากใครนำหมากรุกมาเล่นหน้าอนุสาวรีย์ดังกล่าวนี้ตอนเที่ยงคืน
เค้าว่าหนึ่งในสามท่านนี้จะลงมาเล่นด้วยครับ และต่อจากนี้จะเป็นคิวของน้องโชนแล้วครับ ที่จะพาเราทัวร์คณะประมง ประโยคแรกที่โชนพูดกับผมนี่น่ากลัวกว่าผีอีกครับ โชนหันมาถามผมว่า "พี่เห็นอะไรในตัวผมไหม?" แล้วโชนก็ผายมือออก ตอนนั้นยอมรับความงงกับความกลัวผสมปนเป (คือโชนจะสื่ออะไรรรรรรร ????)

          - ตึกเพาะเลี้ยง คณะประมง 

          โชนบอกว่าที่ตึกนี้มีผีเดินกันพลุกพล่านเลยครับ และจากที่ผมไปเดินสำรวจดูจะมีผีก็ไม่แปลกครับ ตึกเก่ามาก เถาวัลย์นี่ขึ้นตามหน้าต่างกันสร้างบรรยากาศน่าดู โชนบอกว่าถ้าจุดไคลแม็กซ์เลยต้องหน้าต่างชั้น 2 ครับ รุ่นพี่ของโชนบอกว่ามีเวลาเรียน 4 ปี ต้องได้เจอผีตรงนี้เข้าซักวัน

          - นางเงือก 

          ตอนได้ยินครั้งแรกตื่นเต้นมากครับ ผมอยากเจอนางเงือกตัวเป็น ๆ มาทั้งชีวิต ก็ไปที่ตึกประมงตึกใหญ่เลยครับ (ผมไม่รู้ว่าชื่อเต็ม ๆ คืออะไร) โชนบอกว่าห้องน้ำชั้น 3 เคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งล้างหน้า อยู่ ๆ ไฟก็ดับ รุ่นพี่คนนี้เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่องไปที่สวิตช์ไฟตรงประตู จังหวะที่เอื้อมมือไปจะเปิดสวิตช์นั้นเอง ก็มีมือลื่น ๆ เป็นเมือก มีเกล็ดคล้ายเกล็ดปลามาคว้าหมับเข้าที่มือ ! (เรื่องนี้ผมไปลองมาไม่เจออะไรเลยครับ เสียใจมาก)

          - ตึก SCL 

          เป็นตึกแล็บเคมีครับและน่าจะเป็นตึกที่มีเรื่องเล่าเยอะที่สุดของมหาวิทยาลัยนี้แล้ว ตั้งแต่หากยืนหน้าตึกแล้วมองลอดใต้หว่างขาขึ้นไป จะเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่ที่ดาดฟ้าตึก หากไปอ่านหนังสือใต้ตึกตอนดึก ๆ เห็นว่าบ้างก็เจอคนเลือดท่วมเดินผ่าน บ้างก็ว่าจะได้ยินเสียงสวดชินบัญชร (ไอ้เรื่องเสียงสวดชินบัญชรนี่ผมไขคดีได้เรียบร้อยครับ พี่ยามเค้าเฉลยว่า เสียงสวดที่ได้ยินกันน่ะ พวกยามกันเองนี่แหละเป็นคนเปิด แต่จะเปิดเพราะสาเหตุอะไร หรือเปิดให้ใคร ? พี่ยามไม่ยอมบอกครับ ปล่อยเป็นปริศนาดำมืดต่อไป) สำหรับเรื่องตึก SCL มีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจอยู่เรื่องเดียวครับ คือเค้าเล่าว่ามีคนเคยเห็นผีแม่บ้านที่ห้องน้ำหญิงชั้น 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจ พวกผมก็ลองขึ้นไปกันดูครับ
 
 

          เมื่อเข้าห้องน้ำหญิงไปก็พบกับคำเตือนว่า "อันตราย ห้ามเข้าห้องน้ำคนเดียว" เป็นคำเตือนที่ชวนสยองมากครับ ว่าทำไมห้องน้ำถึงต้องห้ามเข้าคนเดียว อีกทั้งยังเป็นห้องน้ำในตัวสถานที่อย่างมหาวิทยาลัยอีกต่างหาก ชวนสงสัยมาจนทุกวันนี้

          - บันไดสำหรับคนอยากเห็นผี

          ที่ตึกบัณฑิตครับ จะมีบันไดด้านข้างตัวตึกอยู่ เค้าว่าถ้าอยากเห็นผีให้เราลองไปนอนที่บันไดนั้น แล้วแหงนหน้า ตั้งจิตแล้วพูดว่า หากวิญญาณมีอยู่จริง ขอให้แสดงอะไรออกมาก็ได้ ไม่ว่าจะมาในรูป รส กลิ่น เสียง แล้วเห็นว่าผีจะโผล่มาให้เห็นครับ
 
          - ศ.ร. 4

          ใต้ตึกศูนย์เรียนรวม 4 จะมีสถาปัตยกรรมอันหนึ่งครับ เกือบ ๆ จะเรียกได้ว่าเตียงละ แต่มันพิสดารกว่านั้น เค้าว่าหากมานอนมานั่งเล่นบริเวณนี้ จะเริ่มได้ยินเสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน ถ้าได้ยินแล้วให้แหงนหน้าขึ้นไป จะเจอกลุ่มผีเด็ก ชะโงกหน้ามาหัวเราะให้เราเต็มไปหมด