วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
เรื่องเล่าสยองขวัญ กุมารทอง
กุมารทอง ถือเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ เชื่อว่าที่มาของกุมารทองเกิดมาจากความต้องการในการเลี้ยงภูติผีปีศาจไว้ใช้งาน โดยกุมารทองจะใช้วิญญาณของเด็กผู้ชาย แต่หากเป็นวิญญาณของเด็กผู้หญิง คนเลี้ยงจะเรียกชื่อว่า “โหงพราย” แทน
กุมารทองสร้างขึ้นมาจากวิญญาณของเด็กที่เสียชีวิตในท้องแม่ หรือที่ถูกเรียกว่าผีตายทั้งกลม ผู้ที่มีวิชาอาคมสูงจะนำเอาวิญญาณของเด็กเร่ร่อนมาเลี้ยงไว้เป็นลูก ซึ่งจากหลักฐานที่ค้นพบในเอกสารโบราณ ได้มีการระบุไว้ว่า การทำกุมารทองจะต้องหาศพที่ตายทั้งกลม แล้วนำมาประกอบพิธีกรรมเพื่อผ่าเอาศพของทารกในครรภ์มารดาออกมาย่างไฟให้แห้งสนิทก่อนจะถึงรุ่งอรุณของวันถันไป จากนั้นจึงนำศพที่แห้งมาลงรักปิดทองให้ทั่วทั้งตัว อันเป็นที่มาของชื่อเรียกว่า กุมารทอง นั่นเอง
เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี สภาพสังคมและวัฒนธรรมก็ถูกพัฒนาขึ้นไปมาก ทำให้ไม่สามารถสร้างกุมารทองจากศพทารกจริง ๆได้ ดังนั้น จึงมีการดัดแปลงพิธีกรรมในการสร้างกุมารทองขึ้น โดยเปลี่ยนเป็นการใช้ดินจากเด็ดป่าช้าแทน และนำไม้รักซ้อนหรือไม้มะยมบ้าง รวมไปจนถึงโลหะ มาสร้างเป็นรูปกุมาร จากนั้นจึงปลุกเสก ตั้งจิต ตั้งธาตุทั้ง 4 และเรียกอาการสามสิบสองให้มาบังเกิดเป็นจิตวิญญาณของเด็กขึ้นมา
ลักษณะของกุมารทองในปัจจุบันนิยมสร้างเป็นรูปเด็กไว้จุก และนุ่งโจงกระเบนแบบโบราณ กุมารทองกลายเป็นเครื่องรางของขลังที่เชื่อกันว่าเสมือนมีวิญญาณของเด็กมาสิงอยู่ในรูปกุมารนั้นจริง และผู้บูชาต้องเลี้ยงดูกุมารทองเหมือนลูกของตน โดยต้องมีการให้ข้าว ให้น้ำ เพื่อเซ่นสรวง ซึ่งปัจจุบันผู้บูชานิยมไหว้กุมารทองด้วยน้ำแดง
กล่าวกันว่า หากผู้บูชาปฏิบัติเลี้ยงดูกุมารทองอย่างดี กุมารทองก็จะช่วยค้ำคูณ คุ้มครองป้องกันเจ้าของจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายได้ โดยกุมารทองจะคอยติดตามเฝ้าระวังบ้านเรือนจากโจรผู้ร้ายไม่ให้สามารถมากล้ำกรายได้เลย อีกทั้งยังช่วยให้ทำมาค้าขึ้น รวมไปถึงสามารถช่วยเตือนภัยล่วงหน้าให้แก่เจ้าของได้อีกด้วย
เรื่องราวของกุมารทองก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถูกกล่าวถึงในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผน เป็นต้น หรือบางครั้งก็นับลูกกรอกเป็นกุมารทองด้วย ส่วนเครื่องรางอีกประเภทหนึ่งที่คล้ายกันมีชื่อเรียกว่ารักยม ก็ถือเป็นที่นิยมบูชาเทียบเท่ากันกับกุมารทอง และเป็นที่รู้จักทั่วไปในสังคมไทย
เรื่องเล่าสยองขวัญ ซอมบี้
ผีซอมบี้ (Zombies) เป็นผีดิบพวกหนึ่งที่มักจะถูกพ่อมดหมอผีปลุกขึ้นมา เพื่อหวังจะนำมาใช้งานตามคำสั่งของตน และแต่ละครั้งที่ปลุกขึ้นมาก็จะปลุกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ประวัติความเป็นมาของผีดิบซอมบี้
ซอมบี้ หรือ ผีดิบเดินได้ เกิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนริมฝั่งทะเลคาริบเบียน และถูกเผยแพร่ไปตามส่วนต่างๆของทวีปยุโรป ผู้ที่มักปลุกผีดิบพวกนี้ขึ้นมาจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เช่น บรรดาพ่อมด หมอผี หรือผู้รอบรู้เกี่ยวกับมนต์ดำในลัทธิวูดู ซึ่งถือเป็นลัทธิหนึ่งที่นิยมปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้งโดยมนตราลึกลับ เพื่ออ้อนวอนต่อเทพเจ้าแห่งปีศาจและความชั่วร้ายที่มีชื่อว่า “เวสตู” ซึ่งลัทธิวูดูไม่ได้มีแต่การเรียกศพฟื้นคืนชีพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีการสาปแช่งและสังหารศัตรูด้วยอำนาจของมนต์ดำอีกด้วย
ลักษณะของซอมบี้จะผอมโซ เคลื่อนที่ช้า แต่หากเป็นซอมบี้ ที่ชื่อว่า น็อตซือเฮอเรอร์(nachtzeher) จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมากกว่าซอมบี้โดยปกติทั่วไป ซอมบี้ที่ตายไปแล้ว มักจะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากมนต์ดำและมักจะไม่ทำร้ายผู้อื่น นอกเสียจากว่า ซอมบี้ตัวนั้นจะถูกปลุกขึ้นมาโดยหมอผีหรือผู้ที่นับถือลัทธินอกรีต ซึ่งจะทำให้ซอมบี้มีนิสัยดุร้าย และชอบกัดกินซากสัตว์ต่างๆหรือซากศพคนตายตามสุสาน
ส่วนซอมบี้ที่ถูกดัดแปลงจะเป็นซอมบี้ที่โดนพวกนักวิทยาศาสตร์ด้านชีวเคมีนำมาผ่าตัดแปลงร่าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นพวกแฟรงเก้นสไตน์นั่นเอง แต่ซอมบี้ที่มักปรากฏในเกมหรือภาพยนตร์จะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากการทดลองเกี่ยวกับไวรัสหรือปรสิต ซึ่งมีการเคลื่อนไหว่ที่เชื้องช้า มนุษย์คนใดที่โดนซอมบี้พวกนี้ทำร้ายโดยการกัดหรือข่วน ก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นกลายร่างไปเป็นซอมบี้ตามไปด้วยในไม่ช้า
ซอมบี้จะมีลักษณะเป็นคนหน้าขาวซีด ตาขาว มีฟันเหลืองและเลื่อมกัน มีเลือดชุ่มไปทั้งตัว ทำให้ดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ซอมบี้มีจุดอ่อนที่ส่วนหัวเนื่องจากมักจะถูกไวรัสควบคุมที่สมอง การใช้อาวุธมีคม เช่น ขวาน หรือ ดาบ ฟันเข้าที่หัวของซอมบี้จะทำให้มันหยุดชะงักไปได้
ส่วนภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่วกับซอมบี้โด่งดังที่สุดและเปฎ็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็คือภาพยนตร์เรื่อง “Resident Evil (ผีชีวะ)” ทั้ง 3 ภาค ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาที่ดัดแปลงมาจากเกม Resident Evil นั่นเอง
วิธีการปลุกผีดิบซอมบี้
ศพที่สามารถนำมาใช้ในพิธีการปลุกซอมบี้ปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ สภาพของผีดิบซอมบี้นั้นจะต้องเป็นศพที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน และควรมีสภาพศพที่ยังอยู่ไม่เน่าเปื่อยหรือเนื้อยุ่ยจนเหลือแต่กระดูก มิเช่นนั้นซอมบี้ที่ปลุกขึ้นมาอาจจะไม่สามารถเคลื่อนตัวได้เพราะร่างไม่สมประกอบ
วิธีการนำศพมาทำพิธี
วิธีการที่จะได้ศพมาใช้ในพิธีการนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของบรรดาพ่อมด หมอผี หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับลัทธิวูดู ว่าจะออกไปสรรหาศพสภาพไหนมาได้ ยกตัวอย่างการได้มาดังต่อไปนี้
1. ขโมยมาจากสุสาน
ส่วนใหญ่บรรดาพ่อมดหมอผีจะนิยมสั่งให้ลูกน้องของตนไปขุดเอาศพขึ้นมาจากหลุมศพของผู้ตาย ซึ่งหาได้ตามสุสานหรือป่าช้า ดังนั้น ในยุคที่มีหมอผีนิยมมาขโมยศพไปทำผีดิบซอมบี้ ญาติของผู้ตายจึงจำเป็นต้องคอยผลัดเวรกันมาเฝ้าศพเอาไว้ หรืออาจจะว่าจ้างให้มีคนมาคอยดูแลเฝ้าศพเอาไว้ ไม่ให้มีใครมาขโมยไปก่อนที่ศพจะเน่าจนไม่สามารถนำเอาไปทำซอมบี้ได้
2. ขโมยศพออกมาจากโรงพยาบาล
วิธีนี้เป็นอีกวิธีในการได้ศพมา แต่ค่อนข้างจะเสี่ยงมากกว่าวิธีแรกสักเล็กน้อย การได้มาด้วยวิธีนี้ได้รับการยืนยันจากนายคลาอุส นารุคิส ชาวเฮติ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์การเสียชีวิตด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตแล้วฟื้นคืนชีพมาแล้ว ในตอนนั้น เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าเขาถูกนำตัวไปไว้อยู่ที่กระท่อมกลางนา และเห็นว่าผู้ที่นำเขามาคือน้องชายตัวแสบแท้ๆของเขานั่นเอง น้องชายได้ร่วมมือกับหมอผีเพื่อจะนำร่างของเขามาทำซอมบี้ แต่ความจำของเขาค่อยๆกลับมา และสามารถจำได้ว่าตัวเองเป็นใครในที่สุด เมื่อน้องชายและหมอผีเสียชีวิต ชายผู้นี้จึงเดินทางกลับบ้านเกิดของตน และนำเรื่องมาเล่าให้คนอื่นไดฟังต่อไปได้อย่างถูกต้อง
ลักษณะและความสามารถพิเศษของซอมบี้
โดยสภาพทั่วไปของซอมบี้จะมีลักษณะแข็งทื่อ ไร้ความคิด ไร้จิตใจ แต่มีความอดทนและแข็งแรงมาก สามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่างแบบไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย และเมื่อผีดิบถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยมนตรา พวกมันจะยอมทำตามเจ้าของในคำสั่งทุกประการ ทำให้เจ้าของสามารถใช้งานให้ซอมบี้ทำอะไรก็ได้ตามที่ตนเองต้องการ
อิทธิฤทธิ์ วิธีการป้องกัน และการจัดการกับซอมบี้
เนื่องจากผีดิบซอมบี้มีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และยังไม่กลัวแสงแดดเหมือนกับผีชนิดอื่นด้วย เวลาจัดการกับซอมบี้ พวกมันก็จะไม่รู้สึกอะไรเลยจนกว่าจะสามารถทำลายให้มันเละไปคามือ การฆ่าซอมบี้จึงต้องใช้ฝีมือสักหน่อย โดยวิธีการที่จะสามารถหยุดยั้งมันได้ ควรจะต้องใช้อาวุธแรงๆอย่างปืนไฟหรือจรวด จึงจะพอสามารถปราบซอมบี้ลงได้ แต่ถ้าไร้อาวุธในมือก็แนะนำให้วิ่งหนีจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เรื่องเล่าสยองขวัญ แฟรงเก็นสไตน์
ตำนานผี แฟรงเก็นสไตน์ เป็นผีอินเตอร์ที่เป็นที่รู้จักไม่แพ้กับท่านเคาท์แดร๊คคูล่า แวมไพร์ ซอมบี้ มนุษย์หมาป่า หรือมัมมี่
ประวัติความเป็นมา
แฟรงเก็นสไตน์ไม่ใช่ชื่อของผีดิบสุดขี้เหร่ และมีน็อตโผล่ออกมาจากขมับข้างศีรษะทั้งสองข้างแต่อย่างใด แต่ชื่อนี้เป็นชื่อของนายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ก่อร่างสร้างตัวมันขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือ ดร.แฟรงเก็นสไตน์ นั่นเอง
ส่วนในหนังสือที่ แมรี่ เชลลี่ย์ ประพันธ์เอาไว้ เธอกลับเรียกเจ้าผีดิบหน้าตาไม่หล่อตัวนี้ว่า “มอนสเตอร์” ( Monster ) หรือที่แปลว่า อสูรกาย เดิมทีเจ้าแฟรงเก็นสไตน์ไม่ได้มีฐานะเป็นบารอน แต่ตำแหน่งที่สูงส่งนี้ได้มาในตอนหลังที่นิยายเรื่องดังกล่าวถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ และเพื่ออยากจะให้ท่านบารอนแฟรงเก็นสไตน์เป็นคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีกับท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า เนื้อเรื่องในภาพยนตร์จึงถูกดัดแปลงและต่อเติมซะแทบจะไม่มีเค้าโครงของเรื่องเดิมเหลืออยู่เลย
เจ้าผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ตัวนี้ ถูกสร้างขึ้นมาจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาศัยการผ่าตัดสมอง เปลี่ยนชิ้นส่วน ของอวัยวะ ตัดๆและเย็บๆไปทั่วทั้งตัวโดยเฉพาะรอยเย็บตามใบหน้า ที่เป็นเหตุผลให้เจ้าผีดิบร้ายตัวนี้มีหน้าตาที่ค่อนข้างอัปลักษณ์และไม่หล่อเหล่าอย่างเคาท์แดร๊คคูล่า และด้วยความที่เจ้าผีดิบแฟรงเก็นสไตน์มีหน้าตาที่เต็มไปด้วยรอยแผลเช่นนี้ จึงช่วยเพิ่มความน่ากลัวสยดสยองให้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
จุดกำเนิดของนิยายสยองขวัญแฟรงเก็นสไตน์
ผู้สรรค์สร้างเจ้าผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ตัวนี้ขึ้นมา ก็คือ แมรี่ เชลลี่ย์ ซึ่งเป็นนักประพันธ์วัยรุ่นสาวสวย ที่มีอายุเพียง 20 ปีเศษๆ และเธอเป็นภรรยาของ เปอร์ซี่ เชลลี่ย์ ซึ่งเป็นยอดกวีที่แต่งนิยายโรแมนติก ผู้เป็นเพื่อนคนสนิทของท่านลอร์ดไบรอน ยอดกวีชื่อดังเรื่องนิยายรัก
เรื่องราวของผีดิบตนนี้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ เมื่อศิลปินทั้งสามได้เดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกันที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แต่ในช่วงเวลาที่ทั้งสามคนไปเที่ยวกลับมีภูมิอากาศอันแสนเลวร้าย ทำให้พวกเขาอดออกไปชื่นชมดินแดนอันแสนงดงาม และต้องนั่งจับเจ่าอยู่แต่ในบ้านพักแทน
ระหว่างที่ไม่มีอะไรทำ ทั้งสามจึงชวนกันแต่งนิยายผีสยองขวัญกันขึ้นคนละหนึ่งเรื่องเพื่อแก้เซ็ง ซึ่งมีเพียงแมรี่เชลลี่ย์ ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถแต่งนิยายเรื่องผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ ขึ้นมาได้จนจบเรื่อง และตั้งแต่วันนั้นในช่วงปี ค.ศ. 1816 หรือ พ.ศ. 2359 นิยายเรื่องดังกล่าวก็มีชื่อเสียงโด่งดังไกลไปทั่วโลกตราบจนถึงทุกวันนี้
อิทธิฤทธิ์ของแฟงเก็นสไตน์
ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์เป็นผีดิบที่มีวัตถุประสงค์การสร้างเหมือนกับผีดิบทั่วไป นั่นคือ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำตามคำสั่งของเจ้านาย ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์เป็นผีที่มีพละกำลังมากมายมหาศาล สามารถทำงานได้ต่อเนื่องแบบไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย แม้จะไม่มีอาหารหรือเลือดพลังของมันก็ไม่มีวันหมดไปเลย อีกทั้งยังยิง แทง หรือฟันไม่เข้าเหมือนกับลงยันต์เอาไว้
วิธีต่อสู้และป้องกันเจ้าแฟรงเก็นสไตน์
เนื่องจากผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ มันจึงไม่เกรงกลัวไม้กางเขน กระเทียม พระเครื่อง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด แต่ถ้าโดนอาวุธขนาดใหญ่อย่างจรวดหรือขีปนาวุธเข้าอย่างจัง ก็คงไม่เหลือชีวิตกลับมาได้เหมือนกัน
การถ่ายทอดหรือการรักษาเผ่าพันธุ์
ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ไม่ได้ถูกสร้างจากสิ่งมีชีวิต การขยายพันธุ์ของมันจึงแตกต่างออกไปจากผีตัวอื่นๆ ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์อาจจะขยายเผ่าพันธุ์โดยการนำศพมาผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ แต่ก็ยังคงเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เพราะยังไม่มีใครรับรองได้ว่าการใช้วิธีผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะจะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้งได้ แต่คาดการณ์ว่าอาจจะมีการทดลองอย่างลับๆอยู่อย่างต่อเนื่อง
เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีถ้วยแก้ว
ผีถ้วยแก้ว ถือเป็นการละเล่นโบราณที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล โดยหลักการจะเป็นการอัญเชิญดวงวิญญาณหรือผีมาสิงสถิตในถ้วยแก้ว จากนั้นผู้เล่นก็จะสอบถามคำถามต่างๆแก่ดวงวิญญาณ ส่วนดวงวิญญาณที่สิงในถ้วยแก้วก็จะตอบคำถามเหล่านั้นโดยการเคลื่อนถ้วยแก้วไปตามตัวอักษรต่างๆที่เขียนเอาไว้บนแผ่นกระดาษ ซึ่งจะประกอบขึ้นเป็นคำตอบต่างๆ
ผีถ้วยแก้ว
ศาสตร์เร้นลับเรื่องการติดต่อสื่อสารระหว่างวิญญาณกับมนุษย์ ถือเป็นเรื่องราวที่มนุษย์พยายามค้นหาคำตอบและทดลองเล่นกันมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็เชื่อว่าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราว หรือบางคนอาจจะเคยทดลองเล่นกับตัวมาแล้ว การเล่นผีถ้วยแก้วถือเป็นการท้าทายความกล้า และกล้าเผชิญหน้ากับความกลัวเพื่อหวังจะพิสูจน์เรื่องราวลึกลับที่ยังไม่มีใครรู้คำตอบ
การถามไถ่ความจริงจากผีด้วยการเล่นผีถ้วยแก้วนี้ อาจจะยังเป็นที่สงสัยของกลุ่มคนบางกลุ่มว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งจากการสอบถามเกจิอาจารย์ชื่อดังท่านหนึ่งว่า “ผี” หรือ “วิญญาณ” สามารถเข้ามาสิงอยู่ในถ้วยแก้วได้จริงหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่า “จริง” เพียงแต่ว่าวิญญาณของผีเร่ร่อนอาจจะไม่ได้ตอบคำถามตามความจริง เพราะวิญญาณเหล่านั้นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าไร หรือบางครั้งการเชิญวิญญาณอาจเกิดการสวมรอยขึ้น กล่าวคือวิญญาณที่ไม่ได้รับเชิญกลับเข้ามาสิงในถ้วยแก้วแทนวิญญาณที่เราต้องการถามเรื่องราว ดังนั้น จึงควรพึงสังวรณ์ไว้ว่า การอัญเชิญดวงจิตหรือดวงวิญญาณมาเพื่อสื่อสาร ก็เปรียบเหมือนกับการที่เราพยายามจะติดต่อกับใครสักคนโดยการโทรศัพท์ หรือเดินไปเคาะหน้าประตูบ้าน หากต้นสายปลายโทรศัพท์ไม่วางจะรับสายหรือเจ้าของบ้านไม่อยู่ก็ย่อมมีบุคคลอื่นเข้ามาสวมรอยรับโทรศัพท์หรือเปิดประตูบ้านให้คุณได้เสมอ แต่หากการสื่อสารเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ก็คงจะเป็นการสื่อสารข้ามมิติที่น่าอัศจรรย์ใจในรูปแบบหนึ่ง
ข้อควรระวัง!!
การเล่นผีถ้วยแก้วต้องอย่ามัวแต่มองถึงความสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะระมัดระวังตัวให้ดีเมื่อคิดจะสื่อสารกับวิญญาณหรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น ผู้เล่นผีถ้วยแก้วควรจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี และมีจิตใจที่แน่วแน่ จึงจะทำให้การเรียนรู้และสื่อสารเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งต้องระวังไม่ให้ถ้วยแก้วเปิดหรือระวังไม่ให้ควันไหลออกไปจากถ้วยแก้วก่อนจะสิ้นสุดการเล่น เพราะมีความเชื่อกันว่า ดวงวิญญาณที่สิงอยู่ในถ้วยแก้วนั้นอาจจะหนีออกจากถ้วยแก้วไปก่อนจะจบการเล่นได้ หรือบางครั้งก็อาจจะกลับเข้ามาสิงร่างตัวคุณหรือเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆคุณก็เป็นได้ ซึ่งของอย่างนี้ก็ต้องแล้วแต่กรณีไป
เรื่องเล่าสยองขวัญ ควายธนู
“ควายธนู” เป็นการเล่นของทางไสยศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันมาเป็นระยะเวลานานแล้ว คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ควายธนูเป็นศาสตร์ไสยดำที่ได้รับอิทธิพลความเชื่อมาจากคนป่าชาวแอฟริกาที่ร่ำเรียนวิชาวูดู โดยควายธนูที่คนไทยรู้จักกัน เป็นสิ่งที่นิยมเล่นกันในแถบจัหวัดในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เรื่อยไปจนถึงบริเวณที่เป็นอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา(เขมร) โดยหมอผีเขมรจะนิยมเล่นศาสตร์มืดโดยใช้ควายธนูไปลอบทำร้ายศัตรูได้อย่างเฉียบขาด จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นวิชามารที่ทำร้ายได้ทุกอย่าง
ควายธนูใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวสำหรับคนโบราณที่มีวิชาอาคม เนื่องจากควายธนูเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่มีไว้ทำลายล้างศัตรู ที่ยากที่จะทำลายหรือล้มมันได้ด้วยอาวุธธรรมดา การแก้มนตร์ดำจากควายธนูจะต้องแก้ไขด้วยเวทวิทยาที่มีอาคมที่แข็งแกร่งมากกว่าเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือ ควายธนูเป็นสัตว์ที่มีอาคมร้ายแรง ผู้ที่คอยเลี้ยงดูต้องควบคุมให้เชื่องตลอดเวลา เพราะหากดูแลไม่ดี ความร้ายกาจของควายธนูอาจย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของได้
การสร้าง “ควายธนู” มีพิธีกรรมการสร้างที่ซับซ้อนยุ่งยาก ดังต่อไปนี้
วิธีการสร้างควายธนู เริ่มต้นจากการหาไม้มาขึ้นเป็นโครงก่อน จากนั้นจะไปตามหาไม้ที่สัปเหร่อใช้สำหรับเขี่ยศพ โดยไม้ที่ใช้สามารถใช้ไม้ได้ทุกชนิดโดยอาจจะเป็นไม้ไผ่ก็ได้ ทั้งนี้ ไม้ที่สัปเหร่อใช้สำหรับแทงศพ เขี่ยศพ หรือพลิกศพขณะที่อยู่ในพิธีเผา จะต้องเป็นศพที่เสียชีวิตในวันอังคาร และนำศพมาเผาในวันศุกร์ ซึ่งช่วงเวลาที่ว่านี้ถือว่าเป็นเวลาที่ขลังและเฮี้ยนมากที่สุด
เมื่อได้ไม้มาแล้ว ก็นำมาทำเป็นโครงร่างของควายธนู ที่มีเขา หัว ขา และหาง ครบถ้วน ต่อจากนั้น ก็นำครั่งที่เกาะอยู่ที่ต้นพุทราที่มีลักษณะพิเศษตรงที่ปลายกิ่งชี้ไปทางทิศตะวันออก มาปะติดที่โครงที่ผูกไว้ของควายธนู จากนั้นจึงปิดแผ่นทองคำเปลวที่ปิดหน้าศพคนตายทับลงไปที่ครั่งอีกชั้นหนึ่ง ตามมาด้วยการใช้ตะกรุดมาเสียบเอาไว้ระหว่างอกกับคอ ก่อนจะนำเอาครั่งมาประกบให้ทั่วอีกชั้นหนึ่งจนทั่วตัวของควายธนู
หลังจากประกอบร่างของความธนูสำเร็จแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของพิธีกรรมนี้ นั่นก็คือ การเสกคาถากำกับให้ควายธนูจงรักภักดีและคอยรับใช้เจ้าของตามที่ต้องการสารพัดนึก ซึ่งหัวใจสำคัญของการทำพิธีนี้จะต้องใช้อาจารย์ที่มีเวทขมังและมีอาคมที่แกร่งกล้า เพื่อกำกับคาถาเสกให้แก่ควายธนู
กว่าจะได้ควายธนูมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การนำควายธนูไปใช้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน เพราะจะต้องระมัดระวังไม่ให้ของเสื่อม หากผู้ใช้ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมจะทำให้ไสยศาสตร์จากความยธนูนี้ย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของได้ นอกจากนี้ หากนำเอาควายธนูไปใช้กับผู้ที่มีวิชาอาคมที่แกร่งกล้ามากกว่า ควายธนูก็อาจถูกสยบเอาได้ คนปกติทั่วไปจึงไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่วิสัยของคนปกติ และเป็นอวิชชาที่มีแต่จะเป็นเวรเป็นกรรมเวรกันเสียเปล่าๆ ความรู้ที่นำมาถ่ายทอดกันให้อ่านในที่นี้ จึงควรรู้ไว้เพียงเพื่อประดับตัว แต่ไม่ควรเลียนแบบเป็นอันขาด
เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีกองกอย
กองกอย ถือเป็นผีป่าหรือผีไพรชนิดหนึ่ง กองกอยมักมีรูปร่างลักษณะเป็นผีขาเดียว ที่มีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน เวลาที่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนก็มักจะกระโดดไปด้วยขาข้างเดียว พร้อมกับส่งเสียงร้องว่า ” กองกอย ๆ ” ซึ่งทำให้เป็นที่มาของชื่อเรียกที่ว่านี้นั่นเอง
คนส่วนใหญ่เชื่อว่ากองกอยมีหน้าตาคล้ายกับลิงหรือค่าง บ้างก็เรียกว่า ผีโป่ง หรือผีโบ่งขาม เนื่องจากสันนิษฐานว่า ผีโป่งก็คือค่างแก่ที่มีหน้าตาน่าเกลียดและไม่สามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า หากได้มีโอกาสดื่มเลือดค่าง จะทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพันและเป็นอมตะชั่วนิรันดร์
คนโบราณมักจะมีความเชื่อว่า ผีกองกอย มักจะดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนที่ไปพักค้างแรมในป่า หากต้องการป้องกันไม่ให้ผีมาดูดเลือด จะต้องนอนไขว้ขาหรือนอนเท้าชิดกันทั้งสองข้าง ตัวอย่างของผีกองกอยในวรรณคดี ก็คือเจ้าย่องตอด ซึ่งพบได้ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี นั่นเอง
เรายังพบผีชนิดอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายๆกับผีกองกอยมีกระจัดกระจายไปทั่วในหลายประเทศ เช่น คนมาเลเซียจะมีความเชื่อเรื่องผีคนป่าเผ่าหนึ่งที่มีขาข้างเดียวและไม่มีสะบ้าหัวเข่า ส่วนในจีนก็มีความเชื่อเกี่ยวกับปีศาจชนิดหนึ่งที่มักอาศัยอยู่ตามภูเขา ผีจีนตัวนี้จะมีลักษณะพิเศษคือมีขาเดียว ตัวเล็ก ตาโต หูแหลม แต่ผมยาว และมักจะชอบลักขโมยอาหารหรือสิ่งของของคนเดินทาง และเมื่อถึงเทศกาลวันตรุษ ผีชนิดนี้ก็มักเข้ามาอาละวาดคนในหมู่บ้าน จึงเชื่อว่าเป็นผีที่นำความอัปมงคลมาให้ หากใครได้จับต้องโดนตัวมัน จะต้องเผชิญกับความโชคร้ายหรือต้องเจ็บไข้ได้ป่วยกันทุกราย ส่วนทางยุโรปก็มีผีขาเดียว ที่มักจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยวิธีการกระโดด
ส่วนในภาคเหนือของไทยก็มีผีอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ผีโป๊กกะโหล้ง ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นผีโป่งชนิดหนึ่ง เพราะลักษณะของมันคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ มีขาเพียงข้างเดียว แต่วิ่งไวราวกับลมพัด อย่างไรก็ตาม ผีชนิดนี้มีความแปลกอยู่บ้างตรงที่ไม่เคยดูดเลือดคนที่เดินป่า แต่กลับชอบเล่นบังตาคนมากกว่า ผีชนิดนี้มักมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวว่า โป๊กๆๆ กะโหล้ง โป๊กๆๆๆ กะโหล้ง ส่วนนิสัยประจำตัวอีกอย่างของผีชนิดนี้คือ หากมีมนุษย์คนใดมาตะโกนเรียกกันในป่า มันจะทำเสียงเลียนแบบ จนทำให้คนที่ตะโกนรับหลงทางไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้น คนเฒ่าคนแก่ถึงได้ห้ามไม่ให้เราตะโกนเสียงดังในป่า เพราะเกรงว่าผีโป๊กกะโหล้งจะเลียนเสียงแล้วทำให้หลงป่าได้นั่นเอง
เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีกะ
คนที่เลี้ยงผีกะ เป็นคนที่มีวิชาอาคม เล่นคุณเล่นของ ผีกะจะถูกเลี้ยงไว้ในหม้อดิน โดยมีผ้ายันต์สีขาวปิดปากหม้อไว้ โดยจะวางไว้บนเพดานบ้าน เจ้าของจะเซ่นผีกะด้วยไข่ดิบวันละฟอง
ผีกะ แต่เดิมคนที่เริ่มนำมาเผยแพร่ คือพวกลิเก หรือพวกนักดนตรี ที่แสดงการละเล่น เรียกว่าผีกะพระ-นาง ผีกะชนิดนี้มีลักษณะคล้ายวอกหรือค่าง ตัวเล็กๆสองตัว มักจะนั่งบนบ่าคนเลี้ยง ผีกะชนิดนี้มีคุณประโยชน์ตรงที่ หากใครเลี้ยงไว้ไม่ว่านักแสดงจะขี้เหร่แค่ไหน พอตกกลางคืนมันจะเลียหน้า ทำให้ยิ่งดึกยิ่งงดงาม การเลี้ยงผีกะจึงเป็นแฟชั่นของนักแสดงทางภาคเหนือในช่วงหนึ่งและเริ่มแพร่หลายสู่ภาคเหนือในจังหวัดต่างๆ จนกระทั่งแยกเป็นหลายชนิด ผีกะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ หากใครเลี้ยงไม่ดี ปล่อยให้ผีกะอดๆอยากๆ มันก็จะทำให้เจ้าของกลายสภาพเป็นกึ่งคนกึ่งภูติ ชอบสิงสู่ชาวบ้านกินตับไตไส้พุง ต้องหาหมอผีมาไล่ออกไปเป็นประจำ
ชนิดของผีกะ
- ผีกะพระ-นาง
- ผีกะต้นฉบับดั้งเดิม ไม่มีใครรู้ว่ามาจากที่ไหน แต่เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน เพื่อให้มันเรียกคนดูมาชม ทำให้คนดูหลงใหลในการแสดงของนักแสดงคนนั้นๆ แม้ว่ากลางวันจะขี้เหร่แค่ไหน แต่ตอนกลางคืนผีกะสามารถทำให้นักแสดงคนนั้นๆสวยหรือหล่อหยาดฟ้ามาดินได้
- ผีกะดง
- จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ บอกว่าผีกะดงนี้ มีอยู่จริงในนิทานพื้นบ้าน ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ผีกะชนิดนี้มีความดุร้าย วิ่งไวดุจลมพัด มักออกหากินเป็นฝูงในยามพลบค่ำ แต่น้ำลายของผีกะชนิดนี้วิเศษมาก สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด ทำให้ร่างกายมีความคงกระพันชาตรี ดังมีเรื่องเล่าว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง หลงรักลูกสาวของคหบดีในตัวเมือง แต่พ่อตาไม่ชอบเพราะว่าชายหนุ่มจน และจัดการให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับชายหนุ่มที่มั่งคั่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็ทราบเรื่องของเจ้าสาวดี จึงส่งคนมาทำร้ายคนรักของเจ้าสาว และหิ้วไปทิ้งในป่า ชายหนุ่มสะบักสะบอม เจ็บทั้งกายและใจ แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ได้แต่ปลงต่อความตาย รอให้สัตว์ร้ายในป่ามากิน ประจวบกับเวลานั้น มีฝูงผีกะดงกำลังออกหากิน ลูกฝูงผีกะจับขาชายหนุ่มเพื่อลากไปเป็นอาหาร ชายหนุ่มนิ่งเงียบปลงต่อชีวิต หัวหน้าผีกะแปลกใจมาก จึงห้ามลูกฝูงและสอบถามเรื่องราว ชายหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด หัวหน้าผีกะเห็นใจ จึงบอกว่า หากชายหนุ่มยอมนับถือพวกตนเป็นผีประจำตระกูล จะช่วยให้ชายหนุ่มได้สมหวัง ชายหนุ่มตอบตกลง ผีกะจึงพากันรุมเลียตัวของชายหนุ่ม ด้วยอานุภาพน้ำลายบาดแผลจากการถูกทำร้ายหายสนิท ฝูงผีกะพาชายหนุ่มนั่งบนบ่า บุกบ้านแต่งงาน ลูกน้องของเจ้าบ่าวรุมทุบ รุมฟาดชายหนุ่ม แต่ก็ไม่อาจทำร้ายชายหนุ่มได้แม้ปลายขน เพราะฝูงผีกะดงกำบังตาไว้ และถีบลูกน้องจนกระเด็นตกเรือนกันหมด พวกผีกะพาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกมาโดยสะดวก หัวหน้าผีกะให้ทองคำและสมบัติที่พวกตนเฝ้ารักษาไว้ ชายหนุ่มปฏิบัติตามคำสัญญาและนับถือผีกะเป็นผีประจำตระกูลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
- ผีกะอาคม
- การเรียนวิชาอาคมในสมัยโบราณ ครูจะหวงวิชามาก ดังนั้นก่อนการเรียนจะต้องมีการขึ้นครูก่อนเสมอเพื่อให้อาคมนั้นสามารถรักษาผู้เรียนได้ มีคนบางคนที่เรียนอาคมโดยไม่ได้ขึ้นครูก่อน จึงโดนคำสาปที่ครูสาปแช่งไว้ในปั๊บหรือตำรานั้นๆ ทำให้กลายเป็นผีกะ ผีกะชนิดนี้จะสิงสู่ในตัวผู้เรียนโดยไม่รู้ตัว แต่ยามค่ำคืนมันจะออกไปหาอาหาร โดยแปลงตัวให้เหมือนหน้าร่างกายที่มันสิงอยู่
- ผีกะตระกูล
- ผีกะอีกสายหนึ่งที่มีคุณอนันต์เช่นกัน ผีกะชนิดนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงแพร่หลายของชาวภาคเหนือ วิธีสังเกตว่าบ้านไหนเลี้ยงผีกะ ให้ดูนาของบ้านนั้นๆ ไม่ว่านานั้นจะอยู่ที่ดอนหรือที่ลุ่ม ไม่ว่าฝนจะแล้งหรือฝนจะขาด นาของบ้านที่เลี้ยงผีกะจะอุดมสมบูรณ์เสมอ ไม่มีแมลงมากวน ไม่มีโรคระบาด ผีกะชนิดนี้เลี้ยงดีมีคุณมาก ถ้าเลี้ยงไม่ดีผีจะออกหากินสิงสู่ชาวบ้าน เมื่อโดนหมอผีไล่ มันก็จะประจานผู้เลี้ยงทำให้อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน.
- ผีกะตายโหง
- คนบางคนเมื่อตายโหง จิตใจยังพะวกพะวนกับโลก จึงสิงสู่ในที่ๆตนตาย แต่เพราะความยึดถือในกายว่าตนยังไม่ตาย เมื่อไม่ได้กินอะไรนานๆเข้า มันหิวกระหาย จึงสิงสู่คนผู้มีจิตอ่อนแอทำให้กลายเป็นผีกะโดยไม่รู้ตัว ผีกะชนิดนี้มีอยู่จริงๆ จากเรื่องเล่าของแม่อุ้ยท่านหนึ่ง ว่า มีคนผู้หนึ่งชื่อ หนานเจต ทำนาที่ริมเขตเมืองเก่าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย(ทางอำเภอเชียงของ) โดยไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นเคยมีคนถูกควายขวิดตาย วิญญาณของคนผู้นั้นจึงสิงสู่หนานเจต พอค่ำลงที่ใกล้ๆหนานเจตนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งทำนาอยู่ หนานเจตเดินเข้ามาหาชาวบ้านคนนั้น ชาวบ้านถามว่ามีอะไร หนานเจตไม่ตอบแต่ดวงตาค่อยๆแดงก่ำและมีเขี้ยวงอกออกมา กระโจนเข้าหาชาวบ้านผู้นั้น ชาวบ้านคนนั้นวิ่งหนีลงมาจากระท่อมนาอย่างขวัญกระเจิง มาหาพ่อของย่าที่กำลังนอนอยู่ บอกให้ช่วยไล่ผีไปที พ่อของย่าจึงถือไม้ไผ่และสายสิญจน์เดินไปดู แต่หนานเจตกลับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ยังคงนอนหลับอยู่ที่ห้าง ผีกะชนิดนี้จึงอาศัยร่างต้นเหมือนปรสิตวิญญาณ จะพาร่างกายออกหากินในยามเจ้าของหลับ
- นกเค้าผีกะ
- ผีกะชนิดนี้มีทูตเป็นนกเค้าแมว สังเกตได้ง่ายว่าหากจะมีผีกะมาเยือนหมู่บ้านไหน กลางคืนคืนนั้นจะมีนกเค้าแมวมาร้อง ทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูที่นกควรร้อง(ฤดูหนาว) รุ่งเช้าคนที่เข้ามาหมู่บ้าน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผีกะ
เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีกระหัง
กระหัง เป็นผีที่มีลักษณะเป็นผู้ชาย โดยตามความเชื่อพื้นบ้านมักกล่าวกันว่า กระหังเป็นผีที่มีอุปนิสัยคล้ายกับกระสือ สามารถบินได้ โดยใช้กระด้งฝัดข้าวเป็นอุปกรณ์ในการโผบิน กระหังจะนั่งบนสากตำข้าวควบคู่กัน ตามความเชื่อพบว่า การจะเป็นกระหังได้นั้น สามารถเป็นได้ไม่ยาก เนื่องจากการเป็นกระหังเกิดจากการผิดครู คือการผิดคำสัญญากับครูอาจารย์ทางเวทมนตร์ ยกตัวอย่างเช่น การผิดคำต้องห้ามในการกินอาหารที่เป็นบวบ การเดินลอดสะพาน เป็นต้น
เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีกระสือ
กระสือ เป็นผีที่สิงสู่อยู่ในคนเพศหญิง โดยมากมักจะพบกระสือที่สิงร่างของยายแก่ อุปนิสัยอันโดดเด่นของกระสือก็คือการชอบรับประทานของสดคาว และเที่ยวออกหากินในเวลากลางคืน โดยเวลาออกหากินจะออกไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายจะทิ้งไว้ที่บ้าน บุคคลอื่นๆมักจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตที่มีแสงสีเขียวเรืองวาม ๆเวลาที่กระสือออกหากินเสมอ
หากหญิงคนไหนเพิ่งคลอดลูกใหม่ ผีกระสือจะมาหากลิ่นคาวสดของเลือด และเข้าสิงร่างเพื่อกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูก รวมถึงทำร้ายเด็กทารกคนนั้น ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงบริเวณที่มีร่องมีรูเพื่อป้องกันกระสือ และเชื่อกันว่ากระสือจะกลัวหนามเกี่ยวไส้ของตนขาดจนไม่กล้าเข้ามา
อาหารสุดโปรดของกระสืออีกชนิดหนึ่งก็คือ ของโสโครก เช่น อุจจาระ เป็นต้น หากกระสือรับประทานเข้าไปแล้ว ก็จะเข้าไปเช็ดปากตามผ้าที่ชาวบ้านตากทิ้งข้ามคืนไว้ ทำให้ผ้านั้นปรากฏเป็นรอยเปื้อนเป็นดวง ๆ หากใครได้เอาผ้านั้นไปต้ม กระสือก็จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากเป็นอย่างมาก จนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป
กระสือเป็นผีที่ตายยาก ก่อนตายจะต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ก่อน เพื่อจะได้เป็นกระสือสืบทายาทตัวต่อไป เมื่อตนจะตายจะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอีกต่อไป
วิธีในการปราบกระสือนั้นเป็นการยากมากที่จะไล่ผีที่มาสิงออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณผีกระสือจะหยั่งรากลึกลงในใจของคน ๆ นั้น ดังนั้น หากต้องการปราบกระสือก็จำเป็นจะต้องฆ่าคน ๆ นั้นให้ตายไปพร้อมๆกับวิญญาณด้วยเลย
ในประเทศมาเลเซียมี”ผีฮันตูปินังกาลัน” ซึ่งมีเรื่องเล่าที่มีลักษณะคล้ายกับกระสือของไทย โดยเรื่องเล่ามีอยู่ว่า มีครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยพ่อ แม่ และลูก พอตกกลางคืน ผู้เป็นพ่อมีธุระที่จะต้องออกไปข้างนอกบ้าน ผู้เป็นแม่จึงปิดประตูอยู่ในห้อง จากนั้นจึงหยิบเอาขวดน้ำมันมนต์มาทารอบคอ สักพัก หัวกับตัวของนางก็แยกออกจากกันโดยมีตับไตไส้พุงห้อยตามติดออกมาด้วย เมื่อหัวและไส้ของนางเคลื่อนที่ไปไหนก็จะปรากฎเป็นดวงไฟสีเหลืองท่บริเวณนั้น นอกจากนี้ ยังมีเสียงดังประดุจลมพัดตลอดเวลาที่นางลอยออกไปเพื่อขับไล่สัตว์น้อยใหญ่ที่หวังจะเข้ามายุ่งกับพวงไส้ของนาง
เมื่อผู้เป็นลูกแอบเห็น จึงได้ลองเอาน้ำมันมนต์ของแม่มาทาดูบ้าง ในขณะที่หัวกำลังจะแยกออกจากร่าง เด็กน้อยก็เกิดความกลัว และร้องไห้โวยวายออกมาอย่างเสียงดังว่า “ช่วยด้วย หัวของฉันกำลังจะหลุดออกจากตัวแล้ว”เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงของเด็กน้อย ก็พากันหวาดกลัวและไม่มีใครกล้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
จนกระทั่งเมื่อหัวของผู้เป็นแม่ลอยกลับเข้ามาสู่ร่างเดิม เสียงร้องโวยวายก็สงบเงียบลง และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวนั้นก็ย้ายหนีออกไป และไม่มีใครมีโอกาสได้พบเห็นพวกเขาอีกเลย
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าของชาวญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับปีศาจที่สามารถถอดหัวหากินในเวลากลางคืนได้ด้วย ปีศาจตัวนี้อาศัยอยู่ในแถบภูเขาบริเวณมณฑลไค จนวันหนึ่ง มีซามูไรผู้กล้าผู้ที่ปัจจุบันผันตัวเองไปบวชเป็นพระ และธุดงค์ผ่านมา เมื่อหัวหน้าปีศาจในร่างมนุษย์ทราบเข้า ก็ได้นิมนต์พระรูปนั้นไปพักที่บ้านของตน
เมื่อตกกลางคืน พระได้ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อหวังจะไปดื่มน้ำโดยไม่ให้เจ้าของรู้ตัวเพราะกลัวจะเป็นการรบกวน ขณะที่เดินผ่านไปยังห้องนอนของเหล่าปีศาจ กลับพบว่าทั้งหมดเป็นร่างที่ไม่มีหัว เมื่อพระเดินตามออกไปดูนอกบ้าน ก็พบเป็นหัวปีศาจ 3-4 หัวล่องลอยไปมา และใช้ลิ้นตวัดกินมดปลวกตามพื้นดิน อีกทั้งยังได้ยินแผนการที่พวกปีศาจจะกินตนในเวลาก่อนรุ่งเช้าด้วย
เมื่อพระได้ยินดังนั้น จึงลากเอาร่างไร้หัวของเหล่าปีศาจไปแอบซ่อนไว้ และเมื่อปีศาจกลับมาแล้วไม่พบร่างของตนก็รู้สึกตกใจและโกรธจัด ทั้งหมดได้ช่วยกันรุมทำร้ายพระ แต่ไม่อาจต้านทานความเก่งกาจของพระผู้ที่เคยเป็นซามูไรมาก่อนได้ จนในที่สุดก็ตายลงในเวลาเช้า
อย่างไรก็ตาม มีหัวของหัวหน้าปีศาจได้กัดติดมากับจีวรของพระ และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถถอดออกได้ ต่อมา มีโจรผู้หนึ่งได้ขอซื้อหัวปีศาจนี้จากพระ โดยโจรหวังจะใช้หัวปีศาจนี้หลอกเอาเงินผู้คน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็กลัวว่าปีศาจจะมาทวงคืน จึงได้ทำสุสานเพื่อฝังหัวปีศาจเอาไว้ และเชื่อกันว่าสุสานแห่งนี้ยังคงมีปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้
เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีปอบ
“ผีปอบ” กำเนิดมาจากการที่ผู้มีวิชาทางไสยศาสตร์และมีมนต์ดำแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอันแสนขลังจากเวทมนตร์คาถาเพื่อสั่งไปทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิตได้ ยกตัวอย่างเช่น การทำเสน่ห์ยาแฝด การฝังรูปฝังรอย การเสกหนังควายเข้าท้อง การเสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณหรือภูตผีไปเข้าสิง
พระพุทธเจ้าทรงระบุว่าวิชาทางไสยศาสตร์เหล่านี้เป็นเดียรฉาน ทำให้ผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์จะต้องมีข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระวังไม่ให้เกิดการละเมิดในข้อห้ามหรือข้อปฏิบัตินั้นๆโดยเด็ดขาด หากเมื่อใดที่มีการกระทำผิดตามข้อห้ามที่ระบุไว้ ชาวอีสานจะเรียกว่า “คะลำ” ซึ่งจะก่อให้เกิดโทษหนักในข้อ “ผิดครู” ตามมา
วิญญาณของบรมครูจะลงโทษคนทำผิดโดยการสั่งให้กลายเป็นปอบ หรืออีกประการหนึ่งของผู้ที่กลายเป็นปอบก็คือ การเล่นคาถาอาคมอย่างหนัก และใช้ความขลังแห่งวิชามนต์ดำไปทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่เกรงกลัวต่อบาป รวมไปถึงการกระทำกรรมชั่วเป็นอาจิณ จนกระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับเข้ามาทำร้ายตัวเอง จนทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นปอบไปในที่สุด
ประเภทของผีปอบ
ปอบสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ดังต่อไปนี้
1. “ปอบธรรมดา” หมายถึง คนที่มีร่างของปอบสิงอยู่ เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยู่ในคนพวกนั้นก็จะ ตายตามไปด้วย
2. “ปอบเชื้อ” หมายถึง ครอบครัวใดที่มีพ่อแม่เป็นปอบ เมื่อพ่อแม่ตายไป ลูกหลานก็จะต้องสืบทอดเชื้อสายการ เป็นปอบต่อไปด้วย หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการสืบต่อทางกรรมพันธุ์ ซึ่งไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม ก็จำเป็นต้องเป็นปอบต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีวันรู้จบ
3. ”ปอบแลกหน้า” หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ที่ถนัดเอาความผิดไปโยนให้ผู้อื่น กล่าวคือ เวลาที่ปอบชนิดนี้เข้าไปสิงใคร เมื่อถูกสอบถามว่ามีผู้ใดเลี้ยงหรือบังคับ ปอบจะไม่ยอมบอกความจริง แต่จะไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้โดยที่ผู้ถูกระบุชื่อไม่ทราบเรื่องราวอะไรเลย
4. ปอบกักกึก (กึก ภาษาอีสานแปลว่า “ใบ้”) หมายถึง ปอบที่ไม่ยอมพูดจาจนกว่าจะมีคนถาม หรือจนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ ปอบตัวนั้นจึงจะยอมเปิดปากพูดความจริงว่าตนเป็นปอบของใคร หรือมีใครใช้ให้มา เข้าสิง
ลักษณะของผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง
ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง หรือที่ชาวอีสานมักเรียกกันว่า “ปอบเข้า” จะมีอาการแตกต่างกันไปต่างๆนานา บางคนอาจแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนอาจจะนอนซมคล้ายคนป่วยไข้อย่างหนัก ในขณะที่บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆนานา
โดยมากผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะร้องเรียกหาอาหารสุกๆ ดิบๆ ไม่ว่าจะเป็น พวกตับหมูตับไก่ต้ม และเวลากินอาหารก็จะแสดงความตะกละมูมมาม และกินได้จุผิดปกติของมนุษย์ เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยผู้นั้นถูกปอบเข้าสิง ก็มักจะไปตามหมอผีให้ช่วยมาขับไล่ผีปอบให้ออกจากคนป่วยผู้นั้น
วิธีการไล่ปอบให้ออกจากร่างมนุษย์ มีอยู่หลายวิธีตามแต่แนวทางที่หมอผีผู้นั้นได้ร่ำเรียนมา บางคนอาจจะเอาพริกแห้งมาเผา แล้วรมควันจนคนป่วยผู้นั้นสำลักควันน้ำตาไหลพาก และเมื่อปอบออกจากร่างผู้ป่วยไปได้แล้ว หมอผีก็จะทำการข่มขู่ โดยการสอบถามว่าผีปอบตัวนั้นเป็นใครมาจากไหน เมื่อผีปอบรับสารภาพ หมอผีก็จะใจดีปล่อยปอบตัวนั้นไป
ผู้ป่วยที่ผีปอบออกจากร่างไปแล้ว ก็จะค่อยๆได้สติในภายหลัง เมื่อฟื้นขึ้นมานัยน์ตาที่เคยแดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกรมจะหายไปทันที แต่เจ้าของปอบกลับจะมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือด จนไม่อาจสู้หน้าใครได้ และต้องซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อไม่ให้ใครพบหน้า
หมอผีทั่วไปมักนิยมไล่ผีปอบโดยการใช้หวายเพื่อเฆี่ยนไล่ปอบ แต่การเฆี่ยนไล่ปอบก็เท่ากับการเฆี่ยนตีคนป่วยคนนั้นไปด้วย และหากปอบตัวไหนขัดขืน หมอผีก็จะต้องเฆี่ยนตีหนักขึ้น จนกระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วยรอยหวาย แต่เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไป ร้อยหวายที่เคยมีก็จะจางหายไปทันที แต่วิธีไล่การผีปอบแบบนี้เคยเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้ว เนื่องจากผู้ป่วยผู้นั้นไม่ได้ถูกปอบเข้าสิงจริง แต่กลับป่วยเป็นโรคประสาทต่างหาก เมื่อญาติคิดว่าอาการป่วยที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเพราะปอบเข้าสิง จึงไปตามหมอผีให้มาไล่ หมอผีจึงจัดการเฆี่ยนตีคนป่วยด้วยหวายจนได้รับความบาดเจ็บหลายครั้งหลายหน จนในที่สุด คนป่วยก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตจากความบาดเจ็บ เรื่องนี้ร้อนถึงตำรวจต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมาย ส่วนหมอผีก็ต้องคิดคุกติดตะรางไปตามระเบียบ
อีกหนึ่งวิธีที่หมอผีนิยมใช้ขับไล่ปอบ ก็คือการนำเอาสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวมาข่มขู่ปอบ ตัวอย่างสัตว์ เช่น คางคก ตุ๊กแก งู เป็นต้น สำหรับกรณีนี้มักใช้กับคนที่ถูกปอบเพศหญิงเข้าสิง เพราะเมื่อผีปอบเหล่านี้โดนข่มขู่ด้วยสัตว์ ก็จะเกิดอาการขยะแขยง และยอมออกจากร่างที่เข้าสิงไปอย่างง่ายดาย
ส่วนผีปอบที่มีฤทธิ์แก่กล้า เวลาที่เข้าสิงใครจะไม่ยอมออกจากร่างง่ายๆ กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย การไล่ผีปอบจะพบข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมปูดนูนขึ้นที่ใต้ผิวหนัง เวลาที่หมอผีจี้ก้อนกลมๆนี้ด้วยไพลเสก ปอบที่แก่กล้าจะทำให้ก้อนกลมนี้จะเลื่อนหนีไปได้ และจะเป็นการลวงหมอผีว่าวิญญาณของปอบออกจากร่างบุคคลนั้นไปแล้ว ทั้งที่จริงยังคงอยู่ โดยมากปอบมักจะเลื่อนก้อนกลมหนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบหรืออวัยวะเพศ ทำให้หมอผีหาไม่พบ
แต่สำหรับหมอผีรุ่นครูจะมีวิธีพิเศษที่จะช่วยขับไล่ปอบที่มีฤทธิ์แก่กล้าให้ออกไปได้ โดยหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมมัดข้อมือ ข้อเท้าและรอบคอ ด้วยด้ายสายสิญจน์ เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจากร่าง จากนั้นจึงใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลมๆใต้ผิวหนัง เมื่อก้อนกลมนี้หนีไปที่ใด ก็จะตามจี้ติดไปไม่ยอมปล่อย และเมื่อปอบถูกไพลเสกจี้ หรือที่ทางอีสานเรียกว่า “แทง” ปอบจะร้องโอดครวญดังลั่นด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส หมอผีจะขู่บังคับให้ปอบบอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดีหลังจากที่โดนทรมานจนหวาดกลัวและเข็ดหลาบไปแล้ว หลังจากนั้น หมอผีจะแก้มัดปอบด้วยด้ายสายสิญจน์ แล้วปล่อยให้ปอบออกไป
หมอผีบางรายอาจมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด เพื่อทำให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าต่อหน้าสาธารณชน โดยหมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไฟจับหนา มาครอบศีรษะของคนที่ถูกปอบสิง จากนั้นจะใช้มีดโกนขูดเขม่าควันไฟคล้ายๆกับการโกนผมให้หมดไปครึ่งศีรษะ แล้วจึงปล่อยให้ปอบออกจากร่างไป วิธีการไล่ปอบเช่นนี้จะทำให้ผู้เป็นปอบ หรือผู้ที่เลี้ยงปอบเอาไว้เส้นผมแหว่งหายไปครึ่งศีรษะ ทำให้ไม่กล้าหนีออกจากห้องไปไหน และต้องหลบซ่อนอยู่แต่ในห้อง หรืออาจต้องใช้ผ้าปกคลุมปิดศีรษะตลอดเวลา
เรื่องเล่าสยองขวัญ แรงอาฆาตผีหัวขาด
“การตายแล้วเกิด” ถือได้ว่าเป็นหลักธรรมดาสำหรับผู้ที่ยังมี “กิเลส” จะต้องเจอ แต่จะไปเกิดเป็นอะไรนั้น หรือจะไปเกิดภพภูมิใดนั้น อันนี้ขึ้นอยู่กับ บุญกรรม ที่ได้ทำไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และก่อนที่จะไปเกิดนี้ “วิญญาณ” จะไม่สูญสลายไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่กับสถานที่ที่เคยเกี่ยวข้อง หรือไม่ก็บุคคลที่เคยมีความสัมพันธ์ ผูกพันกันในขณะที่มีชีวิตอยู่ ถ้าเคยทำความดีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อตายลงก็ต้องไปจุติยังภพภูมิต่าง ๆ บ้างก็มาปรากฎในลักษณะของเทพ เทวดา นางฟ้าบ้าง แต่ถ้าใครเคยทำกรรมชั่ว ละเมิดศีล ๕ แล้วล่ะก็ หากตายไปก็ต้องไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย ภูตผีปีศาจ ในรูปแบบต่าง ๆ กัน จนทำให้มีผู้คนพบเห็น ต่างหวาดผวาไปตาม ๆ กันหากท่านต้องการทราบเรื่องราวต่าง ๆ หลังความตายแล้วล่ะก็ ติดตามเรามาซิ แล้วคุณคงจะหาคำตอบได้อย่างชัดเจน ถึงคำกล่าวที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นั้น ไม่สูญหายไปไหนแน่นอน เพื่อยืนยันเรื่องราวเหล่านี้ ก็ต้องค้นหาความจริงกันได้ ณ บัดนี้
ผู้เขียนทราบข่าวที่น่าสนใจจาก คุณแดง ใจสงบ โทรศัพท์แจ้งมาว่า มีผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับ วิญญาณผีหัวขาดที่ตายไปในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒ คุณแดงได้กรุณาบอกชื่อ บ้านเลขที่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ให้เรียบร้อย จึงขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย
และแล้วในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ผู้เขียนและคณะก็ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ ตามที่ได้นัดหมายไว้กับ คุณองุ่น อร่ามหนุน ที่บ้านเลขที่ ๑๕๒ ซอยคุณพระ (เก่า) ถนนเทอดไท แขวงตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพ ฯ ขณะที่ไปถึงบ้าน คุณองุ่นกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอยู่พอดี เมื่อเห็นผู้เขียนและคณะไปถึง เธอก็รีบกุลีกุจอต้อนรับขับสู้อย่างดี
คุณองุ่นเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณวันที่ ๑๕- ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ รวมเวลาแล้วก็ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว (นับถึงวันที่เล่าเรื่อง ในปี พ.ศ.๒๕๓๔ – อ.เล็ก) เหตุการณ์อันน่าตื่นเต้น และลึกลับนี้เกิดขึ้นกับ คุณประเทือง ชอบสะอาด อายุ ๓๕ ปี ซึ่งเกี่ยวข้องเป็นลูกเขยคุณองุ่นนั่นเอง คุณประเทืองมีภรรยาชื่อ คุณนพรัตน์ ชอบสะอาด
วันนั้น คุณประเทือง ได้ขับรถสามล้อไปตามเส้นทางถนนสายธนบุรี – ปากท่อ แล้วเขาก็ได้จอดรถลงข้างทาง และ ลงจากรถไปสุมไฟที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ข้างทางนั้น (ก่อนตาย คุณประเทืองไม่ได้บอกว่า เพราะอะไรจึงลงไปสุมไฟ) ในขณะที่เขากำลังสุมไฟอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงผู้ชาย ๒ คน กำลังถกเถียงกันอยู่ (ได้ยินแต่ไม่เห็นตัวตน) เสียงนั้นเถียงกันว่า
“กูจะไป มึงจะไปหรือเปล่า” อีกเสียงหนึ่งก็ตอบว่า “กูไม่ไป” ฟังทั้งสองคนเถียงกันอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง แล้วคุณประเทืองก็ขับรถกลับบ้าน
ขณะที่ขับรถมานั้น เขาก็เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดสีกากี นั่งมาในรถด้วย ตอนนั้นความรู้สึกมันบอกว่า ไม่ใช่คนแน่ ๆ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนใจแข็ง ไม่เคยกลัวเรื่องผีสางต่าง ๆ เขาจึงไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่ได้เห็น เขาขับรถมาจนถึงบ้าน และได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทางบ้านฟัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
ตั้งแต่วันนั้นมา คุณประเทือง ก็จะได้ยินเสียงกระซิบอยู่ข้าง ๆ หูอยู่เสมอว่า ให้เขาเดินไปที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง ผลุดลุกผลุดนั่งอยู่ตลอดเวลา พวกญาติพี่น้อง รวมทั้งภรรยา ต้องคอยดูแล คอยจับกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้คลาดสายตา เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน
บางครั้งคุณประเทืองก็จะนั่งพูดอยู่คนเดียว ไม่พูดคุยกับใคร ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน กินแต่กาแฟดำ และสูบบุหรี่มวนต่อมวนเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่ตามปกติแล้ว เขาไม่ชอบกินกาแฟดำ หรือ เคยสูบบุหรี่มาก่อนเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ญาติ ๆ เป็นห่วงมาก จึงพาไปรักษาสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจะให้เขาหายจากอาการประหลาดนี้ และแล้วญาติพี่น้องก็ได้นำเขาไป ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ เป็นผู้รักษา คุณประเทืองได้พูดกับอาจารย์ผู้นั้นว่า
“กูไม่ได้ชื่อประเทือง กูคือ ผีหัวขาด”อาจารย์จึงได้ให้ด้ายสายสิญจน์เขาไว้คล้องคอ เขาก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แต่พอกลับมาถึงบ้าน เขาก็ดึงสายสิญจน์ออกจนขาด ไม่ยอมคล้องไว้ที่คออีก ช่วงที่คุณประเทืองมีอาการเหล่านี้อยู่ บางขณะเขาก็จะเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พูดคุยตามปกติได้ เมื่อมีคนถามว่า รู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นอะไร เขาก็จะตอบว่า“ผมตายลงเมื่อไร ทุกคนก็จะรู้ความจริงว่า ผมเป็นอะไร”แต่คุณประเทืองก็เป็นตัวของตัวเองได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงมากระซิบที่ข้างหูอีก ด้วยความกลัว เขาจึงพยายามที่จะหนีเสียงกระซิบที่คอยสั่งให้ตนไปที่โน่นที่นี่ให้พ้นให้ได้ เขาจึงหนีไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งที่บ้านของเพื่อนคนนี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แต่ถึงอย่างไร เขาก็หนีจากเสียงกระซิบไปไม่พ้นขณะที่คุณประเทืองอยู่ในบ้านเพื่อนนั้น จะได้ยินเสียงเรียกชื่อตนอยู่หน้าบ้าน เรียกให้ออกไปข้างนอก เขาก็พยายามฝืน ไม่ยอมออกไปตามเสียงเรียกนั้น แต่ในที่สุด เขาก็อดรนทนต่อเสียงเรียกนั้นไม่ไหว จึงต้องออกไปตามเสียงเรียกนั้น ในระหว่างที่เขาไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนอยู่นั้น เพื่อนคนนั้นก้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเช่นกัน ในที่สุด ภรรยาและญาติ ๆ จึงต้องพากลับมาอยู่บ้าน และต้องคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
ต่อมาวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๑ ก็เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าสลดขึ้น โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลย นั่นคือ คุณประเทืองได้เดินเข้าไปในห้องนอนของตน แล้วใช้เชือกผูกคอตาย ขณะนั้น ญาติพี่น้องก็ช่วยกันตามหาจนทั่ว ไม่ทราบว่าเขาหายไปไหน ผู้เป็นแม่นึกเอะใจ จึงเดินเข้าไปดูในห้องนอนของเขา ผู้เป็นแม่ก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อมองไปดูที่หลังประตูห้องนอน ก็พบกับร่างของเขาห้อยโตงเตงอยู่ โดยผูกเชือกกับขื่อบ้าน จึงร้องตะโกนให้คนมาช่วยกันอุ้มร่างเขาลงมา แต่ก็พบว่าเขาสิ้นใจตายเสียแล้ว
สิ่งที่ทำความแปลกใจให้กับพวกญาติ ๆ ก็คือ ตรงบริเวณรอบ ๆ คอ ของเขานั้น มีรอยนิ้วทั้ง ๕ นิ้ว ขย้ำไว้เป็นรอยแดง ๆ ลักษณะเหมือนถูกบีบคอตามปกติคนที่ผูกคอตาย ลิ้นจะต้องห้อย ตาถลนออกมา แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ลักษณะของเขาเหมือนคนตายธรรมดา เพียงแต่มีรอยแดง ๆ ที่คอเท่านั้น
พวกญาติ ๆ ได้นำศพไปพิสูจน์ที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลได้ลงความเห็นว่า เป็นการผูกคอตาย แต่พวกญาติ ๆ รู้ดีว่าคุณประเทืองคงจะไม่ได้ผูกคอตายเองแน่นอน เพราะตอนที่เขายังไม่เจอกับเหตุการณ์นี้ ยังเป็นปกติอยู่นั้น เขามักจะพูดกับเพื่อน ๆ อยู่เสมอว่า “คนที่ฆ่าตัวตาย คือคนโง่” แต่ที่เขาผูกคอตายครั้งนี้ คงจะเป็นเพราะเขาถูกบังคับจากเสียงกระซิบที่เขาได้ยิน บังคับให้เขาทำอัตตวินิบาตกรรมครั้งนี้ขึ้นก็ได้หลังจากที่เผาศพคุณประเทืองเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมาอีก นั่นคือ หญิงสาวซึ่งมีบ้านอยู่บริเวณใกล้ ๆ กันนั้น มีอายุประมาณ ๑๘ ปี ปรากฎว่าวิญญาณที่เคยทำให้คุณประเทืองตาย ได้มาแฝงร่างหญิงสาวคนนี้ และได้พูดว่า“ข้าชื่อ พงษ์เทพ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ได้ทะเลาะกับเพื่อนคนหนึ่ง ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วเกิดขัดใจกัน เพื่อนจึงฟันคอข้าขาดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วต่อมา นายประเทืองได้ไปสุมไฟที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น เขาทำลายที่อยู่ของข้า ทำให้ข้าไม่มีที่อยู่ ข้าจึงต้องฆ่ามันตาย”ขณะนั้น มีคนหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ทำไม ต้องทำเขาถึงตายด้วย” เขาก็ตอบว่า “ก็มันมาทำลายบ้านข้า ข้าจึงเอามันถึงตาย” แล้วชาวบ้านอีกคนหนึ่งก็พูดขอว่า “อย่าทำร้ายคนอื่นอีกได้ไหม พวกเราจะตั้งศาลเพียงตาให้” เขาก็ตอบว่า “ได้”และแล้ว คนนั้นก็ถามต่ออีกว่า “นอกจากศาลเพียงตาแล้ว จะเอาอะไรอีกมั๊ย” เขาตอบว่า “ขอรองเท้าบู๊ท ๑ คู่ หมวก ๑ ใบ ชุดกากี ๑ ชุด”
มีชาวบ้านอีกคนพูดเสริมขึ้นว่า “เอาล่ะ เราจะทำหัวจำลองไว้ให้ด้วย ขอแต่เพียงว่า ต่อไป อย่ามารบกวนอีกเลย” เขาก็รับปากว่า “ได้”หลังจากนั้นบรรดาญาติ ๆ ของคุณประเทือง และชาวบ้านก็ได้ทำพิธีตั้งศาลเพียงตาให้อย่างถูกต้อง พร้อมกับจัดของตามที่วิญญาณนั้นได้ขอไว้ครบหมดทุกอย่าง
แต่ยังไม่ยุติลงแค่นั้น วิญญาณดวงนั้นยังคงวนเวียนอยู่ ยังไม่ไปผุดไปเกิด เพราะในเวลายามค่ำคืน ชาวบ้านแถบนั้นก็จะได้ยินเหมือนคนสวมรองเท้าบู๊ท เดินย่ำไปมาอยู่เสมอ ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของคนแถวนั้นมีอยู่รายหนึ่งมีอาชีพทำซาละเปาขาย คืนไหนที่ได้ยินเสียงรองเท้าบู๊ท ก็จะไม่กล้าลุกขึ้นมาทำซาละเปา ต้องรอให้สว่างก่อนจึงจะลงมือทำ ซึ่งก็ทำให้เดือดร้อนไม่น้อยนอกจากเสียงย่ำรองเท้าบู๊ทแล้ว บางคืนพวกชาวบ้านแถวนี้ก็จะได้ยินเสียงลากม้าหินดังครืดๆ และเสียงดังกึก ๆ เหมือนกับมีคนนั่งแล้วโยกไปมาชาวบ้านบางคนที่ใจกล้า อยากจะพิสูจน์ให้รู้แน่ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงอะไรกันแน่ จึงพากันแอบดูตามร่องกระดานว่า มีคนมาลากม้าหินนั้นหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครเห็น แต่ก็ยังได้ยินเสียงลากม้าหินนั้นเช่นเคย ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านแถวนั้นมากยิ่งขึ้น
สำหรับวิญญาณของคุณประเทือง หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว ได้มาปรากฎให้ภรรยาเห็นครั้งหนึ่งในห้องนอน ได้มายืนตรงปลายเตียง เห็นแต่ช่วงขา ซึ่งเธอคิดว่า เป็นพ่อของคุณประเทือง จึงร้องถามไปว่า
“พ่อเข้ามาทำไม” แต่เงียบ ไม่มีเสียงตอบ พอรุ่งเช้า เธอก็ได้ถามพ่อว่า“เมื่อคืนพ่อเข้าไปในห้องของฉันหรือเปล่า”พ่อก็ตอบว่า “เปล่า ไม่ได้เข้าไป”ทุกคนก็ลงความเห็นว่า คงเป็นวิญญาณของคุณประเทืองมาเยี่ยม นั่นเอง แล้วคุณล่ะ มีความเห็นอย่างไร
ผู้เขียนทราบข่าวที่น่าสนใจจาก คุณแดง ใจสงบ โทรศัพท์แจ้งมาว่า มีผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับ วิญญาณผีหัวขาดที่ตายไปในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒ คุณแดงได้กรุณาบอกชื่อ บ้านเลขที่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ให้เรียบร้อย จึงขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย
และแล้วในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ผู้เขียนและคณะก็ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ ตามที่ได้นัดหมายไว้กับ คุณองุ่น อร่ามหนุน ที่บ้านเลขที่ ๑๕๒ ซอยคุณพระ (เก่า) ถนนเทอดไท แขวงตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพ ฯ ขณะที่ไปถึงบ้าน คุณองุ่นกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอยู่พอดี เมื่อเห็นผู้เขียนและคณะไปถึง เธอก็รีบกุลีกุจอต้อนรับขับสู้อย่างดี
คุณองุ่นเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณวันที่ ๑๕- ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ รวมเวลาแล้วก็ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว (นับถึงวันที่เล่าเรื่อง ในปี พ.ศ.๒๕๓๔ – อ.เล็ก) เหตุการณ์อันน่าตื่นเต้น และลึกลับนี้เกิดขึ้นกับ คุณประเทือง ชอบสะอาด อายุ ๓๕ ปี ซึ่งเกี่ยวข้องเป็นลูกเขยคุณองุ่นนั่นเอง คุณประเทืองมีภรรยาชื่อ คุณนพรัตน์ ชอบสะอาด
วันนั้น คุณประเทือง ได้ขับรถสามล้อไปตามเส้นทางถนนสายธนบุรี – ปากท่อ แล้วเขาก็ได้จอดรถลงข้างทาง และ ลงจากรถไปสุมไฟที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ข้างทางนั้น (ก่อนตาย คุณประเทืองไม่ได้บอกว่า เพราะอะไรจึงลงไปสุมไฟ) ในขณะที่เขากำลังสุมไฟอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงผู้ชาย ๒ คน กำลังถกเถียงกันอยู่ (ได้ยินแต่ไม่เห็นตัวตน) เสียงนั้นเถียงกันว่า
“กูจะไป มึงจะไปหรือเปล่า” อีกเสียงหนึ่งก็ตอบว่า “กูไม่ไป” ฟังทั้งสองคนเถียงกันอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง แล้วคุณประเทืองก็ขับรถกลับบ้าน
ขณะที่ขับรถมานั้น เขาก็เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดสีกากี นั่งมาในรถด้วย ตอนนั้นความรู้สึกมันบอกว่า ไม่ใช่คนแน่ ๆ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนใจแข็ง ไม่เคยกลัวเรื่องผีสางต่าง ๆ เขาจึงไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่ได้เห็น เขาขับรถมาจนถึงบ้าน และได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทางบ้านฟัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
ตั้งแต่วันนั้นมา คุณประเทือง ก็จะได้ยินเสียงกระซิบอยู่ข้าง ๆ หูอยู่เสมอว่า ให้เขาเดินไปที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง ผลุดลุกผลุดนั่งอยู่ตลอดเวลา พวกญาติพี่น้อง รวมทั้งภรรยา ต้องคอยดูแล คอยจับกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้คลาดสายตา เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน
บางครั้งคุณประเทืองก็จะนั่งพูดอยู่คนเดียว ไม่พูดคุยกับใคร ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน กินแต่กาแฟดำ และสูบบุหรี่มวนต่อมวนเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่ตามปกติแล้ว เขาไม่ชอบกินกาแฟดำ หรือ เคยสูบบุหรี่มาก่อนเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ญาติ ๆ เป็นห่วงมาก จึงพาไปรักษาสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจะให้เขาหายจากอาการประหลาดนี้ และแล้วญาติพี่น้องก็ได้นำเขาไป ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ เป็นผู้รักษา คุณประเทืองได้พูดกับอาจารย์ผู้นั้นว่า
“กูไม่ได้ชื่อประเทือง กูคือ ผีหัวขาด”อาจารย์จึงได้ให้ด้ายสายสิญจน์เขาไว้คล้องคอ เขาก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แต่พอกลับมาถึงบ้าน เขาก็ดึงสายสิญจน์ออกจนขาด ไม่ยอมคล้องไว้ที่คออีก ช่วงที่คุณประเทืองมีอาการเหล่านี้อยู่ บางขณะเขาก็จะเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พูดคุยตามปกติได้ เมื่อมีคนถามว่า รู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นอะไร เขาก็จะตอบว่า“ผมตายลงเมื่อไร ทุกคนก็จะรู้ความจริงว่า ผมเป็นอะไร”แต่คุณประเทืองก็เป็นตัวของตัวเองได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงมากระซิบที่ข้างหูอีก ด้วยความกลัว เขาจึงพยายามที่จะหนีเสียงกระซิบที่คอยสั่งให้ตนไปที่โน่นที่นี่ให้พ้นให้ได้ เขาจึงหนีไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งที่บ้านของเพื่อนคนนี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แต่ถึงอย่างไร เขาก็หนีจากเสียงกระซิบไปไม่พ้นขณะที่คุณประเทืองอยู่ในบ้านเพื่อนนั้น จะได้ยินเสียงเรียกชื่อตนอยู่หน้าบ้าน เรียกให้ออกไปข้างนอก เขาก็พยายามฝืน ไม่ยอมออกไปตามเสียงเรียกนั้น แต่ในที่สุด เขาก็อดรนทนต่อเสียงเรียกนั้นไม่ไหว จึงต้องออกไปตามเสียงเรียกนั้น ในระหว่างที่เขาไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนอยู่นั้น เพื่อนคนนั้นก้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเช่นกัน ในที่สุด ภรรยาและญาติ ๆ จึงต้องพากลับมาอยู่บ้าน และต้องคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
ต่อมาวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๑ ก็เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าสลดขึ้น โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลย นั่นคือ คุณประเทืองได้เดินเข้าไปในห้องนอนของตน แล้วใช้เชือกผูกคอตาย ขณะนั้น ญาติพี่น้องก็ช่วยกันตามหาจนทั่ว ไม่ทราบว่าเขาหายไปไหน ผู้เป็นแม่นึกเอะใจ จึงเดินเข้าไปดูในห้องนอนของเขา ผู้เป็นแม่ก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อมองไปดูที่หลังประตูห้องนอน ก็พบกับร่างของเขาห้อยโตงเตงอยู่ โดยผูกเชือกกับขื่อบ้าน จึงร้องตะโกนให้คนมาช่วยกันอุ้มร่างเขาลงมา แต่ก็พบว่าเขาสิ้นใจตายเสียแล้ว
สิ่งที่ทำความแปลกใจให้กับพวกญาติ ๆ ก็คือ ตรงบริเวณรอบ ๆ คอ ของเขานั้น มีรอยนิ้วทั้ง ๕ นิ้ว ขย้ำไว้เป็นรอยแดง ๆ ลักษณะเหมือนถูกบีบคอตามปกติคนที่ผูกคอตาย ลิ้นจะต้องห้อย ตาถลนออกมา แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ลักษณะของเขาเหมือนคนตายธรรมดา เพียงแต่มีรอยแดง ๆ ที่คอเท่านั้น
พวกญาติ ๆ ได้นำศพไปพิสูจน์ที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลได้ลงความเห็นว่า เป็นการผูกคอตาย แต่พวกญาติ ๆ รู้ดีว่าคุณประเทืองคงจะไม่ได้ผูกคอตายเองแน่นอน เพราะตอนที่เขายังไม่เจอกับเหตุการณ์นี้ ยังเป็นปกติอยู่นั้น เขามักจะพูดกับเพื่อน ๆ อยู่เสมอว่า “คนที่ฆ่าตัวตาย คือคนโง่” แต่ที่เขาผูกคอตายครั้งนี้ คงจะเป็นเพราะเขาถูกบังคับจากเสียงกระซิบที่เขาได้ยิน บังคับให้เขาทำอัตตวินิบาตกรรมครั้งนี้ขึ้นก็ได้หลังจากที่เผาศพคุณประเทืองเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมาอีก นั่นคือ หญิงสาวซึ่งมีบ้านอยู่บริเวณใกล้ ๆ กันนั้น มีอายุประมาณ ๑๘ ปี ปรากฎว่าวิญญาณที่เคยทำให้คุณประเทืองตาย ได้มาแฝงร่างหญิงสาวคนนี้ และได้พูดว่า“ข้าชื่อ พงษ์เทพ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ได้ทะเลาะกับเพื่อนคนหนึ่ง ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วเกิดขัดใจกัน เพื่อนจึงฟันคอข้าขาดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วต่อมา นายประเทืองได้ไปสุมไฟที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น เขาทำลายที่อยู่ของข้า ทำให้ข้าไม่มีที่อยู่ ข้าจึงต้องฆ่ามันตาย”ขณะนั้น มีคนหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ทำไม ต้องทำเขาถึงตายด้วย” เขาก็ตอบว่า “ก็มันมาทำลายบ้านข้า ข้าจึงเอามันถึงตาย” แล้วชาวบ้านอีกคนหนึ่งก็พูดขอว่า “อย่าทำร้ายคนอื่นอีกได้ไหม พวกเราจะตั้งศาลเพียงตาให้” เขาก็ตอบว่า “ได้”และแล้ว คนนั้นก็ถามต่ออีกว่า “นอกจากศาลเพียงตาแล้ว จะเอาอะไรอีกมั๊ย” เขาตอบว่า “ขอรองเท้าบู๊ท ๑ คู่ หมวก ๑ ใบ ชุดกากี ๑ ชุด”
มีชาวบ้านอีกคนพูดเสริมขึ้นว่า “เอาล่ะ เราจะทำหัวจำลองไว้ให้ด้วย ขอแต่เพียงว่า ต่อไป อย่ามารบกวนอีกเลย” เขาก็รับปากว่า “ได้”หลังจากนั้นบรรดาญาติ ๆ ของคุณประเทือง และชาวบ้านก็ได้ทำพิธีตั้งศาลเพียงตาให้อย่างถูกต้อง พร้อมกับจัดของตามที่วิญญาณนั้นได้ขอไว้ครบหมดทุกอย่าง
แต่ยังไม่ยุติลงแค่นั้น วิญญาณดวงนั้นยังคงวนเวียนอยู่ ยังไม่ไปผุดไปเกิด เพราะในเวลายามค่ำคืน ชาวบ้านแถบนั้นก็จะได้ยินเหมือนคนสวมรองเท้าบู๊ท เดินย่ำไปมาอยู่เสมอ ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของคนแถวนั้นมีอยู่รายหนึ่งมีอาชีพทำซาละเปาขาย คืนไหนที่ได้ยินเสียงรองเท้าบู๊ท ก็จะไม่กล้าลุกขึ้นมาทำซาละเปา ต้องรอให้สว่างก่อนจึงจะลงมือทำ ซึ่งก็ทำให้เดือดร้อนไม่น้อยนอกจากเสียงย่ำรองเท้าบู๊ทแล้ว บางคืนพวกชาวบ้านแถวนี้ก็จะได้ยินเสียงลากม้าหินดังครืดๆ และเสียงดังกึก ๆ เหมือนกับมีคนนั่งแล้วโยกไปมาชาวบ้านบางคนที่ใจกล้า อยากจะพิสูจน์ให้รู้แน่ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงอะไรกันแน่ จึงพากันแอบดูตามร่องกระดานว่า มีคนมาลากม้าหินนั้นหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครเห็น แต่ก็ยังได้ยินเสียงลากม้าหินนั้นเช่นเคย ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านแถวนั้นมากยิ่งขึ้น
สำหรับวิญญาณของคุณประเทือง หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว ได้มาปรากฎให้ภรรยาเห็นครั้งหนึ่งในห้องนอน ได้มายืนตรงปลายเตียง เห็นแต่ช่วงขา ซึ่งเธอคิดว่า เป็นพ่อของคุณประเทือง จึงร้องถามไปว่า
“พ่อเข้ามาทำไม” แต่เงียบ ไม่มีเสียงตอบ พอรุ่งเช้า เธอก็ได้ถามพ่อว่า“เมื่อคืนพ่อเข้าไปในห้องของฉันหรือเปล่า”พ่อก็ตอบว่า “เปล่า ไม่ได้เข้าไป”ทุกคนก็ลงความเห็นว่า คงเป็นวิญญาณของคุณประเทืองมาเยี่ยม นั่นเอง แล้วคุณล่ะ มีความเห็นอย่างไร
เรื่องเล่าสยองขวัญ 10 เรื่องผีชวนขนหัวลุกในโรงพยาบาล
- ขึ้นชื่อว่าโรงพยาบาลแล้ว ถือเป็นสถานที่ที่มีคนตายมากที่สุด และแน่นอนว่าพอมีคนตายก็ย่อมต้องมีวิญญาณ มีผี ซึ่งวันนี้ทางทีมงาน Toptenthailand ก็ได้รวบรวมเอา 10 เรื่องผี เรื่องหลอนทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโรงพยาบาลมาให้ทุกคนได้ขนหัวลุกไปพร้อมๆ กัน!!
10. นักศึกษาแพทย์โดนดี!!
ทุกคนคงจะรู้ดีว่ากว่าจะได้มาเป็นหมอเนี่ย นักศึกษาแพทย์ทุกคนต้องผ่านการเข้าเวรดึกกันมาทั้งนั้น…วันนั้นเวลาประมาณ 4-5 ทุ่ม นักศึกษาแพทย์ชายคนนึงกำลังจะเดินเปลี่ยนวอร์ด บรรยากาศตามทางเดินไปยังลิฟต์ก็เงียบสงัด ไม่มีแม้กระทั่งคนอยู่แถวนั้น แต่จู่ๆ พอเงยหน้าขึ้นมาไปยังทางเดินก็พบกับชายใส่ชุดสีกากี เขาก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะนึกว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาส่งของ แต่พอเดินใกล้กันเข้าๆ กลับรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว พอมองไปที่ชายคนนั้นก็สังเกตเห็นว่าทั้งแขน ทั้งไหล และขาไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย!! จนเมื่อเดินสวนกันก็ถึงได้เห็นว่าชายคนนั้นไม่มีขา และกำลังลอยอยู่บนอากาศ!! พอเห็นอย่างนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปที่ลิฟต์ โดยก่อนลิฟต์จะปิดชายชุดกากีคนนั้นก็หันหน้ามาและยิ้ม แหยะๆให้
9. ผีหัวขาด ณ ห้องน้ำ
เรื่องนี้เคยเป็นข่าวที่ทำเอาคนอยุธยาไม่กล้าไปโรงพยาบาลกันพักใหญ่ เพราะใครๆ ก็พากันพูดถึงผีหัวขาดกันทั้งนั้น เรื่องมีอยู่ว่าชาวบ้านคนนึงได้ไปเฝ้าพี่สาวที่โรงพยาบาล ซึ่งได้พักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยรวมทำให้ต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน จากที่สังเกตก็ไม่ได้มีญาติคนไข้ที่เป็นผู้ชายเลย เวลาประมาณ 2 ทุ่ม เธอก็ได้ไปเข้าห้องน้ำ พอเปิดประตูเข้าไปก็พบกับผู้ชายใส่เสื้อสีชมพู ตัวสูง ซึ่งก็แปลกใจเพราะก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ชายมาเยี่ยมไข้ใครเลยแม้แต่คนเดียว จึงได้หันกลับไปมองดูที่เตียงทั้งหลาย แต่พอหันกลับมาก็ทำเอาตกใจแทบจะเป็นลม เพราะ เห็นชายคนเดิมยืนคู่กับหญิงสาวหัวขาด และมือขวาของชายคนดังกล่าวยังหิ้วหัวของหญิงสาวคนนั้นไว้ด้วย!! จึงรีบวิ่งเพื่อไปถามพยาบาล โดยพยาบาลก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจ แต่ตอบสั้นๆว่า “อ๋อ..มีคนเจอแบบนี้มาสองรายแล้วค่ะ”
8. เดี๋ยวพี่พาไปส่ง..
เรื่องของสองพี่น้องลูกคุณหมอ ที่ได้ตามพอมาออกเวร ซึ่งตอนนั้นก็เป็นเวลา 5 ทุ่มกว่าแล้ว ทั้งคู่ก็เบื่อกับการนั่งอยู่เฉยๆ เลยพากันออกมาเดินเล่นแถวๆนั้น ซึ่งหารู้ไม่ว่ามันคือ ห้องดับจิต!! พอเดินไปเดินมากลับหลงทางหาทางไปห้องของพ่อไม่ถูก จู่ๆ กลับมีผู้หญิงคนนึงใส่ชุดคนไข้เดินเข้ามา บอกว่าจะช่วยพาไปส่งให้ เพราะแถวนี้มันอันตรายผีเยอะ!! ทั้งคู่ก็เดินไปเรื่อยๆ จนสังเกตเห็นสายสิญจน์ผูกอยู่ที่ข้อมือแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร จนพามาส่งถึงที่ทั้งคู่จึงหันไปขอบคุณผู้ป่วยคนนั้น เธอได้บอกว่าเธอยินดีที่จะช่วย และเหงามาก ถ้าว่างๆ อยากให้ไปคุยเป็นเพื่อนเธอที่ห้อง 139 พอเธอเดินกลับไปทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในห้อง พยาบาลต่างมองทั้งคู่เป็นตาเดียว แล้วถามว่าเมื่อกี้คุยกับใคร ทำไมไม่เห็นจะมีใครอยู่ตรงนั้นเลย!? พอตอนเช้าจึงได้เล่าให้พ่อฟัง พ่อจึงพาไปที่ห้อง 139 แต่พอไปถึง พยาบาลกลับบอกว่า “คนไข้ห้องนี้เสียไปเมื่อ 2 วันที่แล้วค่ะ”
7. ห้องคลอดสยองขวัญ!!
เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ได้มีเด็กวัยรุ่นพม่าผู้หญิงคนนึงมาคลอดลูกที่โรงพยาบาลนี้ ซึ่งทั้งแม่และลูกก็ปลอดภัยดี แต่ผ่านไป 1 วันก็มีคนพบศพเด็กถูกกดน้ำตายในห้องน้ำ พร้อมกับพม่าคนนั้นที่หายตัวไป…ซึ่งเรื่องราวสุดหลอนก็เกิดขึ้นหลังจาก นั้น เพราะบรรดาแม่ๆทั้งหลายที่มาคลอดลูกที่นี่มักจะเจอดี ทั้งเจอผีเด็กมาดูดนมบ้าง มาร้องไห้ที่ข้างเตียงบ้าง พยาบาลเลยต้องหาวิธีแก้โดยเอาของเล่น และนมมาวางไว้ในห้องน้ำห้องนั้น ซึ่งนานๆที่ก็จะมีคนได้ยินเสียงหัวเราะบ้าง เสียงของเล่นบ้าง ทั้งๆที่ห้องน้ำนั้นไม่มีใครอยู่!!
6. ญาติมาเยี่ยม
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนกลางวันแสกๆ ที่หมอเดินเข้ามากำลังจะเข้าไปตรวจคนไข้ที่ห้องรวม พอเดินเข้ามาก็ต้องชะงักเล็กน้อยกับภาพที่เห็น คือมีญาติคนไข้มาเยี่ยม ซึ่งคนไข้คนนั้นนอนโรงพยาบาลมากว่า 1 เดือนแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีญาติมาเยี่ยม พอเห็นอย่างนั้นหมอจึงได้แต่ยิ้ม และเดินไปตรวจเตียงอื่นๆ พอถึงคิวของคนไข้คนนั้นหมอได้พูดว่า “วันนี้ดีจังเลยนะมีคนมาเยี่ยมด้วย” คนไข้ได้แต่ทำหน้างง และบอกว่าก็ไม่มีใครมาหนิ พยาบาลแล้วนั้นก็งง กันเป็นแถบๆ เพราะยืนยันได้ว่าไม่มีใครมาขอเยี่ยม หมอจึงบอกว่าก็ผู้ชายคนนั้นไง ที่ใส่เสื้อสีฟ้า หน้าตาคล้ายๆคนไข้เลย คนไข้จึงนิ่งไปและบอกว่า นั่นอาจจะเป็นน้องชายของเค้าที่ตายไปแล้ว..ซึ่งตอนจะเผาก็ใส่เสื้อสีฟ้าแบบ ที่คุณหมอบอกเด๊ะๆ!!
5. ณ ห้องชันสูตรศพ
เป็นเรื่องที่ผู้ช่วยแพทย์ชันสูตรศพเจอมากับตัว ซึ่งวันนั้นเป็นเวรดึกของแกที่ดันเป็นวันที่พายุเข้า ฝนตกหนัก จู่ๆ ก็มีเคสผู้หญิงผูกคอตายเข้ามา ตอนนั้นแกทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องรอหมอ ผ่านไป 1 ชม. หมอก็ยังไม่มา ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับไฟก็ดับ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติของวันฝนตก ผ่านไปสักพักไฟของตึกอื่นก็เริ่มสว่างขึ้น แต่ตึกนิติเวชที่แกอยู่นั้นยังมืดสนิท ด้วยความเบื่อจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียง ก๊อกๆ ดังขึ้น ตอนนั้นก็คิดว่าเป็นหมอ แต่พอไปเปิดกลับไม่เจอใคร เลยคิดว่าอาจจะเป็นพวกโจรมาขโมยศพรึเปล่า พอแกกำลังจะกลับไปนั่งที่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก คราวนี้ดังมาก เหมือนเคาะมาจากห้องเก็บศพข้างๆ จึงตัดสินใจหยิบมีด และเดินไปที่ห้องเก็บศพ ขณะนั้นก็ได้ยินเสียง “ฮือ…ฮือ….” และเสียงกรี๊ดดังลั่นไปทั่วห้อง จึงรีบเปิดประตูเข้าไป พบผู้หญิงกำลังผู้คอตายอยู่เหนือที่วางศพ จึงรีบขึ้นไปตัดเชือกให้ แต่พอตัดเท่านั้นสิ่งที่ตกลงมากับไม่ใช่ร่างคน แต่เป็นหัว!! ที่กลิ้งไปตกอยู่ที่พื้น พอแกมองไปศพตากับหัวนั่น เธอก็พูดขึ้นว่า “พี่…ช่วย หนู ด้วย”
4. เพื่อนข้างเตียง..
เรื่องของคนไข้เด็ก 2 คนที่นอนเตียงตรงข้ามกัน โดยทั้งคู่ต่างก็อยู่โรงพยาบาลมานานหลายเดือน จนมีเด็กคนหนึ่งเสียชีวิตไปก่อนด้วยโรคประจำตัว…หลังจากนั้นไม่กี่คืน ขณะที่หมอ 2 คนกำลังพยายามเจาะเลือดเด็กอีกคนที่ยังมีชีวิตอายุประมาณ 2 ขวบ เขาก็ได้พูดชื่อของเด็กที่เพิ่งตายไปออกมา พูดไม่หยุด หมอเรียก หมอห้ามยังไงก็ไม่ฟัง และขณะที่เรียกตาก็จ้องมองไปยังเตียงตรงกันข้ามที่ว่างเปล่านั้น และพยักหน้า ยิ้มแย้ม เหมือนกำลังพูดคุยกับใครอยู่ เล่นเอาหมอกับพยาบาลขนลุกซู่ เดินหนีไปทำใจเลยทีเดียว
3. นี่มันที่ของหนู
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับชายคนนึง ที่ได้เข้าทำการผ่าตัด จึงทำให้ต้องนอนโรงพยาบาล ซึ่งเค้าก็ได้ขอนอนที่ตึกใหม่ เพราะตึกเก่านั้นมีเรื่องเล่าเยอะมาก พอได้นอนที่ตึกใหม่ วันแรกก็ยังไม่เจออะไร แต่คืนที่สอง ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับไปก็ได้ยินเหมือนเสียงคนเดินเข้ามาหา ทั้งๆที่ยังไม่ได้เปิดประตูห้อง และพอลืมตาขึ้นก็สบสายตากับเด็กผู้หญิงคนนึงที่ตัวซีดเผือก ใส่ชุดโรงพยาบาล พร้อมกับมองมาที่เขาและพูดว่า “ออกไปนะ นี่ที่ของหนู” พร้อมกับปีนขึ้นเตียงมาจะนอนด้วย ตอนนั้นสติก็ไม่ค่อยมี เลยได้แต่บอกว่าขอนอนคืนนึงนะแล้วจะไป พอพูดจบร่างของเด็กน้อยคนนั้นก็จางหายไป…คืนเดียวกันนั้นทั้งๆที่หลับไป แล้วกลับได้ยินเสียงเด็กผู้ชายดังขึ้น “ซื้อพวงมาลัยมั้ยลุง” ตอนนั้นคิดว่าตัวเองฝัน เพราะโรงพยาบาลนั้นห้ามให้คนขึ้นมาขายของอยู่แล้ว แต่พอลืมตาขึ้น กลับเห็นเด็กชายคนยืนถือพวงมาลัยอยู่ ตัวเต็มไปด้วยเลือด และที่สำคัญขาทั้ง 2 ข้างหายไป!!
2. ระวังปากจะพาซวย!!
คนขับรถส่งต่อของโรงพยาบาลมีหน้าที่ขับรถส่งผู้ป่วยไปยังอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งก็มักจะมีเรื่องหลอนๆ เกิดขึ้นเสมอ เหมือนกับครั้งนี้ ที่คนขับรถต้องไปส่งคนไข้ที่บาดเจ็บสาหัส โดยระยะทางค่อนข้างไกล พอไปถึงก็ส่งให้อีกโรงพยาบาลนึงดูแล ซึ่งเวลาผ่านไปประมาณเกือบ 1 ชม. คนขับรถก็ได้รับโทรศัพท์ว่าให้ไปรับศพของคนไข้คนเดิมกลับมา ตอนนั้นเค้าก็เพิ่งจะจอดรถได้ไม่นาน เลยสบถออกมาว่า “ทำไมรีบตายจังวะเนี่ย ตายพรุ่งนี้เช้าก็ไม่ได้” พอไปรับศพ ขากลับจู่ๆ ก็เห็นชายคนนึงเดินอยู่ข้างทาง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็เกือบจะตี 3 แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอขับไปสัก 10 นาทีก็เห็นเหมือนชายคนเดิมเดินอยู่ข้างถนน ตอนนั้นเริ่มใจไม่ดีเลยเหยียบคันเร่งเพราะอยากไปถึงไวๆ แต่ก็ต้องเหยียบเบรกกะทันหัน เพราะข้างหน้าคือผู้ชายคนนั้น ที่ยืนชี้มาที่รถและพูดเสียงดังว่า “ด่า กู ทำ ไม!!” ตอนนั้นก็รู้แล้วว่านั่นคือคุณลุงที่นอนอยู่หลังรถ จึงรีบเหยียบคันเร่งหนี ระหว่างนั้นก็มีเสียงทุบ ตีดังอยู่ที่หลังรถตลอดทาง จนรถเกือบจะชน เค้าก็ได้ขอโทษสรรพสิ่งวิญญาณที่ได้ล่วงเกิน จนไม่เกิดเหตุร้ายขึ้น
1. โรงพยาบาลผีสิง
นี่เป็นเรื่องของโรงพยาบาลร้างที่ว่ากันว่าปิดตัวลงเพราะความเฮี้ยน ขนาดกลางวันแสกยังมีคนเห็นรถเข็นคนไข้แล่นไปมาอยู่หน้าอาคาร บางวันหมาก็หอนกันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่มีสาเหตุ ซึ่งเรื่องต่อไปนี้เกิดขึ้นกับคุณป้าคนนึงที่วันนั้นดันกลับบ้านดึกเลยเรียก แท็กซี่เข้าไปในซอย ซึ่งก็คือซอยเดียวกับโรงพยาบาลนั้นแหละ ขับไปพอใกล้จะถึงหน้าโรงพยาบาลแท็กซี่ก็หลบซ้ายกะทันหัน ป้าเลยถามว่าทำอะไรน่ะ!! แท็กซี่เลยบอกว่าก็มีรถพยาบาลตามหลังเกิดไฟขอทางเลยต้องแอบให้ ตอนนั้นป้าขนลุกซู่ เพราะไม่มีทางที่จะมีรถพยาบาลเข้ามาในนี้ เลยบอกว่านั่นมันรถผีสิง แท็กซี่กลัวมากเลยจอดให้ป้าลงตรงนั้น แกจึงต้องเดินเข้าไป พอเดินๆไปก็ได้ยินเสียงคนโหยหวนบ้าง ได้ยินเสียงร้องไห้บ้าง มองเข้าไปในโรงพยาบาลก็เห็นไฟเปิดอยู่!! ทำเอาแกตกใจจนหมดสติ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เหมือนคนสติไม่เต็ม เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ร้องไห้ พอผ่านไปสัก 3-4 วัน แกก็ผูกคอตายในห้องน้ำ…
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
เรื่องเล่าสยองขวัญ ตำนานเสือสมิง
เสือสมิง คือ เสือที่ดุร้าย และชอบกินมนุษย์เป็นอาหาร ทำให้ความน่ากลัวของศาสตร์ลี้ลับนี้กลายเป็นตำนานที่บอกเล่ากันมาหลายยุคหลายสมัย เมื่อเสือสมิงกลืนมนุษย์เข้าไปมากมาย วิญญาณของศพที่ตายไปนั้นก็สิงสู่อยู่ในกายเสือ จนทำให้เสือตัวนั้นเพิ่มความน่ากลัว และสามารถแปลงร่างกลายเป็นใครต่อใครก็ได้ตามที่ใจปรารถนาเพื่อพลางกายตนเอง และเที่ยวล่อลวงเหยื่อคนอื่นให้มาหลงกลตนอีกครั้ง จนในที่สุดก็จะถูกจับกินเป็นอาหาร หากจำนวนศพหรือวิญญาณในกายเสือมากขึ้นเท่าไร เสือตัวนั้นก็จะยิ่งทวีฤทธิ์อำนาจมากขึ้นแบบทวีคูณ
ที่มาของเสือสมิงมีความเป็นมาที่ซับซ้อน ไม่ใช่แค่เสือตัวไหนที่กินมนุษย์เข้าไปแล้วจะสามารถกลายเป็นเสือสมิงได้เพียงแค่นั้น แต่ยังมีอีกวิธีที่จะสามารถกลายร่างเป็นเสือสมิงได้เช่นกัน วิธีดังกล่าว ก็คือ จะต้องร่ำเรียนวิชาเสือที่สามารถเรียกวิญญาณให้เสือร้ายเข้ามาสิงในกายตนได้ นอกจากนี้ยังต้องร่ำเรียนอาคมในทางเดรัจฉานวิชาด้วย เมื่อสะสมนานวันเข้า ทุกๆอย่างที่ป้อนเข้าไปทั้งวิชาเรียกเสือและอาคม ก็จะเกิดการรวมตัวเข้าด้วยกัน และทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นเสือสมิงในที่สุด ร่างของเสือสมิงจะสมบูรณ์เมื่อเสือตนนี้กินคนเข้าไป
กล่าวถึงเรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานกันมาอย่างมากเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งโด่งดังมากถึงขั้นลงข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายใหญ่ของประเทศ เรื่องเล่านี้กล่าวกันว่า ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคเหนือ มีชาวบ้านหลายคนได้รับความเดือดร้อนจากการที่เสือตัวใหญ่ลอบเข้าไปเข่นฆ่าทำร้ายร่างกายของคนในหมู่บ้าน ชาวบ้านพากันหวาดกลัวเสือตัวนี้เป็นอย่างมาก จึงไปขอร้องทหารหน่วย ตชด. มาคอยคุ้มครองดูแลความปลอดภัยให้แก่ชาวบ้านในหมู่บ้าน หลังจากนั้น หน่วยทหาร ตชด. ก็ได้ส่งกำลังทหารเข้ามาตามล่าเสือและคอยคุ้มครองชาวบ้าน
ตกดึกคืนหนึ่ง ขณะที่ฝ่าย ตชด. กำลังแบ่งกำลังเพื่อเดินตรวจตรา และส่วนที่เหลือก็เข้าพักนอนหลับบนศาลา ขณะนั้นเอง ศาลาที่หน่วย ตชด. อาศัยหลับนอนอยู่ก็เกิดสั่นไหว ทำให้ทหารที่นอนอยู่ รีบตื่นเพื่อลุกขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นเสือโคร่งตัวใหญ่ 4 ตัว ยืนพิงอยู่ที่โคนเสาของศาลา ทหารทั้งหมดตัดสินใจยิงปืนใส่เสือโคร่งตัวใหญ่นั้นไปหลายนัด จนทำให้เสือโคร่งบาดเจ็บ และวิ่งหนีหายไปในความมืดมิด
เช้าวันรุ่งขึ้น หน่วยทหารพยายามแกะรอยเดินทางตามรอยเลือดของเสือตนนั้นไป จนในที่สุด ก็ติดตามมาจนรอยเลือดสิ้นสุดที่หลุมเนินดินแห่งหนึ่ง ที่บริเวณรอบข้างไม่ปรากฎกายของเสือตัวนั้นเลย ทหารเหล่านั้นจึงตัดสินใจค้นหาคำตอบโดยการขุดหลุมเปิดเนินดินนั้น หลังจากที่เหล่าทหารขุดหลุมไปสักพักจนลึกพอประมาณ ก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ซึ่งปรากฎเป็นศพของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ท่อนบนเป็นมนุษย์ แต่ท่อนล่างเป็นสภาพของเสือลายพาดกลอน ซึ่งดูคล้ายๆว่า เป็นการกลายร่างกลับจากเสือเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นเอง
เมื่อสอบถามถึงที่มาและหลักฐานของศพชายผู้นี้ ก็ได้เรื่องราวว่าชายผู้นี้เป็นคนในหมู่บ้านแถวนั้น ซึ่งเสียชีวิตลงเพราะผิดผี แต่ชาวบ้านก็ยังสงสัยถึงประเด็นการผิดผีที่ผู้ชายคนนั้นเป็น ว่าผู้ชายคนนี้ผิดผีอะไร และอย่างไร อย่างไรก็ตาม หนังสือไม่ได้กล่าวถึงคำตอบของคำถามนี้ จึงไม่สามารถวิเคราะห์คำตอบที่ถูกต้องได้
ช่วงสมัยนั้น ยังมีอีกหนึ่งวิชาที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือ วิชาแปลงร่างเป็นจระเข้ ซึ่งหากใครสนใจในเหตุการณ์เรื่องนี้ก็สามารถค้นหาข้อมูลจากประวัติและเรื่องราวของหลวงปู่สุข วัดมะขามเฒ่า จังหวัดอยุธยา ได้ ก็จะสามารถมองเห็นความใกล้เคียงของเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปได้ นอกจากนี้ ศาสตร์การแปลงกายนี้ยังมีปรากฏในเรื่อง ขอกสินดิน แต่หากเป็นวิชาแปลงกายเป็นเสือสมิงและวิชาจระเข้โดยเฉพาะนี้ ได้จางหายและสาบสูญไปแล้ว เนื่องจาก วิชาเช่นนี้ให้โทษแก่คนที่ร่ำเรียนมากกว่าที่จะให้คุณประโยชน์ ในปัจจุบัน อาจารย์ทั้งหลายหรือผู้ที่เล่าเรียนอาคม มักนิยมปลุกเรียกเสือเพื่อลงในเครื่องรางมากกว่าจะเรียกให้มาสิงที่คน
ในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเสือสมิงบันทึกไว้เช่นกัน เรื่องราวมีอยู่ว่า ครั้งเมื่อพระองค์เสด็จประพาสต้นไปที่จันทบุรี พระองค์ทรงโปรดไปเสด็จเยี่ยมความเป็นอยู่ของประชาชนตามหัวเมืองต่างๆ ในหลายๆจังหวัด ทั้งนี้ห็เพื่อค้องการทราบสารทุกข์สุขดิบของประชาชนอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการกระทำที่ดีกว่าการอ่านรายงานจากข้าราชการเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การที่พระองค์ได้เดินทางไปในที่ต่างๆ ยิ่งทำให้พระองค์มีพระพลานามัยที่แข็งแรงมากกว่าแต่ก่อนด้วย
ในช่วยปี พ.ศ. ๒๔๑๙ พระองค์ทรงเสด็จทางเรือด้วยพระที่นั่งอรรคราชวรเดชพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ไปตามชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกทางจังหวัดจันทบุรี ซึ่งขณะนั้นจังหวัดนี้ยังมีแต่ป่ามากกว่าจะเจริญเป็นเมืองหรือสวนผลไม้เหมือนปัจจุบัน ในป่าเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์หลายชนิด ทั้งช้างป่า ม้าป่า และเสือป่า ซึ่งถือว่ามีความชุกชุมเป็นอย่างมากกว่าจังหวัดอื่นๆ หากทางกรุงเทพหรือที่ไหนต้องการเสือ ก็มักจะมาหาเอาจากที่นี่ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครองเมืองจันทบุรีจึงต้องเพิ่มหน้าที่จากการดูแลราษฎรอย่างใกล้ชิด มาเป็นรพินทร์ ไพรวัลย์ ที่ต้องคอยกำจัดเสือที่เข้ามาทำร้ายราษฏรด้วย
จันทบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ เป็นช่วงที่เสือแสดงความอุกอาจเป็นอย่างมาก พวกมันจะบุกเข้าไปล่าอาหารตามบ้านคนแล้วคาบคนไปกินอย่างร้ายกาจ เสือที่เข้ามาจับคนในบ้านจะเป็นเสือแก่ที่ขาดความรวดเร็วว่องไวพอจะวิ่งไล่จับสัตว์อื่นทัน จึงจำเป็นต้องเข้ามาจับคนกินแทน พฤติกรรมการล่ามนุษย์นี้ ทำเอาชาวบ้านตกใจ เสียขวัญ และระส่ำระสายกันไปทั่ว จนไม่เป็นอันกินอันนอน
พระยาจันทบุรีเห็นว่าเสือร้ายชักจะเข้ามาวุ่นวายก่อกวนกับคนมากไปแล้ว ท่านจึงตัดสินใจเผด็จศึกขั้นเด็ดขาดโดยการจัดหาพรานป่าฝีมือดีหลายคน มาช่วยกันออกไปล่าเสือด้วยปืนและจั่นดัก พรานป่าต่างล่าเสือกันอย่างเอาจริงเอาจัง เด็ดขาด และทำให้เสือล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เสือที่เหลือก็เกิดความกลัวจนหนีเตลิดเข้าป่าลึกกันไปหมด เมื่อเสือหมดไป ชาวบ้านก็หายจากอาการอกสั่นขวัญหาย และสามารถกลับมาทำอาชีพอย่างสงบสุขได้ดังเดิมอีกครั้ง
แต่ปัญหาเรื่องเสือก่อกวนเพิ่งสงบลงไปยังไม่ทันไร ก็มีข่าวลือเรื่องเสือสมิงมาทำให้ชาวบ้านเกิดอาการอกสั่นขวัญเสียกันอีกครั้งใหม่ ประจวบเหมาะกับช่วงนั้น เป็นเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสไปที่บริเวณนั้นพอดี พระองค์ได้ทรงบันทึกเรื่องราวตามพระราชนิพนธ์ ไว้ว่า
“…ราษฎรชาวเมืองเชื่อถือกลัวเสือสมิงกันมาก เล่ากันว่าที่เมืองเขมรมีอาจารย์ทำน้ำมันเสือสมิงได้ ศิษย์ได้ลักน้ำมันนั้นทาตัวเข้า กลายเป็นเสือสมิงไปถึง ๓ คน พลัดเข้ามาในแขวงเมืองจันทบุรี ตัวหนึ่งเป็นเสือดุร้าย เที่ยวขบกัดคนตายที่พลิ้ว ๒ คน ที่ปากจั่น ๑ คน ที่ป่าสีเซ็น ๒ คน รวม ๕ คน อาจารย์เที่ยวตาม ได้บอกชาวบ้านว่าศิษย์สามคนลักน้ำมันเสือสมิงทาตัวเข้า กลายเป็นเสือไปทั้งสามคน บิดามารดาของศิษย์นั้นเขาจะเอาลูกของเขา จึงมาเที่ยวตามหา แล้วสั่งไว้ว่าใครพบปะเสือนี้แล้วให้เอาไม้คานตี ฤๅมิฉะนั้นให้เอากะลาครอบรอยเท้าเสือนั้น ก็จะกลับเป็นคนได้ แต่วิธีจะแก้นี้ทำได้ก็แต่เมื่อเสือนั้นยังไม่ทันกินคน รังควานทับเสียแล้ว ถึงจะทำวิธีที่บอกก็ไม่อาจกลับเป็นคนได้”
หลังจากอ่านไปแล้วก็ไม่อาจจะวางใจได้ว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เหตุเพราะอาจารย์ที่ว่านี้ เหตุใดจึงคิดจะทาน้ำมันที่ตัวคนเพื่อกลายให้เป็นเสือขึ้นมา เขาทำไปเพื่อประโยชน์อะไร เรื่องราวยังคงเป็นที่สงสัยว่าเหตุใดเสือลูกศิษย์จึงต้องวิ่งข้ามชายแดนมาไกลเท่านี้ ทำไมจึงไม่อยู่ที่เขมรเหมือนเดิม อีกอย่างที่ยังเป็นข้อสงสัยกันก็คือ เหตุใดเมื่อเสือกินคนไปแล้ว จึงไม่สามารถกลับคืนร่างเดิมได้ คำถามทั้งหมดยังคงไม่มีคำตอบ ทำให้พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงปักใจเชื่อในข่าวลือที่มีคนกล่าวถึงนี้เท่าไร อีกทั้งยังทรงบันทึกข้อความต่อไปอีกว่า
“…เหมือนเมื่อครั้งก่อนเรามาสัตหีบครั้งหนึ่ง น้ำจืดในเรือหมด ต้องเกณฑ์ให้ทหารขึ้นไปตักน้ำที่หนองบนบกไกลฝั่งประมาณ ๓ เส้น พวกชาวบ้านบอกว่าที่นี่มีเสือสมิงมาเที่ยวอยู่ พระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์มาติดตามเวลากลางคืน แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นตาลริมหนองน้ำนั้น คอยจะแก้ศิษย์ซึ่งกลับเป็นคน ในเวลานั้นก็ยังอยู่ พวกทหารพากันกลัว กลับมาเล่าจนเรารู้ เราอยากจะให้ไปตามตัวลงมาให้เห็นหน้าอาจารย์สักหน่อยหนึ่ง ก็เป็นเวลาดึกเสียแล้ว ครั้นเวลาเช้าก็ไปเสียจากสัตหีบ ท่านขรัวอาจารย์นั้นป่านนี้เสือมันจะเอาไปกินเสียแล้วฤๅอย่างไรก็ไม่รู้ “
เรื่องเล่าสยองขวัญ สาวปากฉีก ผีญี่ปุ่น
- สาวปากฉีก หรือ คุชิซาเกะอนนะ (「口裂け女」, Kuchisake onna, 口裂け女) เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก
สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยมั๊ย? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยนิ แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี
สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ
เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีจ้างหนัง
คำชะโนด ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นสถานที่ ที่ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พญานาคาอาศัยอยู่ ชึ่งอยู่บริเวณวัดสิริสุทโธ เป็นที่น่าแปลกที่มีป่าขนาดใหญ่ปกคลุมด้วยนานาพรรณไม้โดยเฉพาะ ต้นชะโนด อยู่กลางทุ่งนา ก่อนที่จะเข้าไปชมในบริเวณป่าคำชะโนด ผมได้รับข้อมูลจาก ท่านกำนันของหมู่บ้าน ว่าด้วยเรื่องที่มาและความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค กำนันเล่าให้ฟังว่า
“สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่อาศัยอยู่และเป็นสถานที่สู่เมืองบาดาลของพญานาคตามความเชื่อ” อีกทั้งบริเวณรอบศาลาเคยมีร่องรอยคล้ายๆรอยพญานาคอยู่ด้วย ซึ่งชาวบ้านต่างเชื่อว่านั้นคือร่องรอยพญานาค แต่ที่ทำให้ผมหูผึ่งและขนลุก กลับเป็นเรื่องเล่าที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้
เรื่องเกิดขึ้นในราวเดือนมกราคม พศ. 2532 มีคนมาว่าจ้างให้หนังเร่ ไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร โดยค่าจ้างตกลงกันไว้ 4000 บาท มีหนังฉาย 3-4 เรื่อง แต่มีข้อตกลงกันว่า ให้ฉาย 3 ทุ่มถึงแค่ตี 4 เท่านั้น ห้ามฉายถึงสว่าง พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย ซึ่งทางเจ้าของหนังแร่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง
ทางเจ้าของก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ไปตามวันและเวลาที่ได้นัดหมายหนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3ทุ่ม ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด แต่พอ3ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง และคนทั้งหมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงหรือแสดงความรู้สึก เหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่วๆไป ฉายหนังบู๊ ก็เฉย ฉายหนังตลกก็เฉยคนเราอย่างน้อยถึงเป็นคนจริงจังยังไงผมว่าต้องแสดงออกมาบ้างว่าชอบหรือไม่ชอบ แต่นี้กลับอยู่ในอาการที่สงบ
แต่ที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือปกติเวลามีการฉายหนังกลางแปลงในต่างจังหวัด ก็เหมือนกับมีงานเทศกาลสร้างความคลึกคลื้นให้คนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ร้านค้า ร้านอาหาร ต่างพากันมาเปิดเพื่อซื้อขายกันมากมาย งานนี้ กลับไม่มีเลย บรรยากาศโดยรอบดูเย็นยะเยือกไปหมด
พอถึงตี 4 มีคนมาบอกว่าให้เก็บข้าวของไปได้แล้ว อีกทั้งยังสั่งว่าเมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้ว ห้ามเหลียวหลังกลับมาดูเด็ดขาด พอทางเจ้าหน้าที่เก็บของและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินทางออกจากที่ทำการฉายหนัง แต่ก็เอะใจในคำสั่ง เลยหันกลับไปดู เท่านั้นแหละพี่น้องครับพวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด หายไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาต่างฉงนสงสัย
อีกทั้งพื้นที่ตรงนั้นกลับเป็นป่าทึบที่แม้ที่ๆ จะเอาจอหนังขึงยังแทบจะไม่มี พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อของที่ร้านค้า ชาวบ้านเลยถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา เจ้าหน้าที่ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย แม้กระทั่งเสียงยังไม่ได้ยิน
เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืน ไปฉายหนังที่ไหนมา ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ไปฉายหนังที่ใน ดงคำชะโนดซึ่งเป็นสถานที่ลึ้ลับที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เองก็เลยเชื่อว่า”ถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า
”ปัจจุบันชาวบ้านเชื่อว่า ดงคำชะโนดเป็นที่อาศัยของพญานาคและเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ก่อนที่จะเข้าไป มีข้อห้ามเช่น ห้ามใส่รองเท้า หมวก แว่นตา และร่ม วันที่ผมเดินทางไปนั้นปรากฎว่าฝนตก นึกว่างานนี้เจอข้อห้ามอย่างนี้คงได้ ไข้หวัดกลับไปเป็นที่ระลึกแน่ แต่ยังดีที่สามารถใส่เสื้อฝนได้
ทางเข้ามีรูปปั้นพญานาค 2 ตัว 7 เศียร อยู่ช้ายขวาลำตัวยาวเข้าไปในป่าดง คำชะโนด ชึ่งคล้ายสะพานที่ทอดยาวผ่านท้องนาสู่ป่าที่ดูจากภายนอกแล้ว ลึกลับซ่อนแร้นน่าพิศวง ผมเดินสู่ดงคำชะโนด ด้วยความตรวจตราอย่างพินิจพิเคราะห์ ส่วนใหญ่พืชที่ขึ้นเป็น ต้นชะโนด ลักษณะคล้ายต้นหมาก ปาล์ม ต้นตาลและมะพร้าวมารวมกัน
เดินไปประมาณ 200-300 เมตร ก็จะพบศาล ที่มีผู้คนมาสักการะบูชา บริเวณใกล้มีฆ้องไว้ให้คนที่มาลูบ เชื่อว่าใครที่ลูบจนเกิดเสียงคนนั้นจะโชคดี ไม่ไกลกันนักเป็นบ่อน้ำที่เชื่อกันว่าเป็นเส้นทางที่จะไปสู่เมืองบาดาล ใครที่มีโอกาสได้มาอย่าลืมดื่มน้ำหรือเอามาพรม เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้หายจากโรคภัยและเสริมมงคลให้กับตัวเอง งานนี้ผมพลาดไม่ได้ที่จะปฎิบัติตาม เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เราสบายใจครับ ผมเดินกลับออกมาโดยที่ไม่กลับไปเหลียวหลังเพราะว่าบางที อาจจะไม่เห็น ดงป่าคำชะโนดนี้ก็เป็นได้
เรื่องเล่าสยองขวัญ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง กรุงเทพฯ
สถานที่นี้เล่ากันว่า (เป็นตำนานนะครับ จริง ๆ อาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้) ได้รับบริจาคมาจากท่านเจ้าคุณ แล้วท่านเจ้าคุณเนี่ย เมื่อท่านปราบขุนโจรต่าง ๆ ได้ ท่านจะจับวิญญาณพวกมันเอาไว้ผูกติดกับที่ ไว้ให้ปกปักรักษา บางคนก็เลยเชื่อว่าที่ดินตรงนี้ มีผีเก่าผีแก่อยู่มากมายครับ เป็นผีที่อาฆาตแค้นเสียด้วย
- ศาลในห้องน้ำ
ศาลที่ว่านี้เดิมตั้งไว้ที่คณะวิศวะฯ ตึกเอ ชั้น 5 ครับ เห็นว่ากันว่าเคยมีสาวคณะสถาปัตย์ อกหักจากหนุ่มคณะวิศวะฯ แล้วเธอก็ได้มาผูกคอฆ่าตัวตายในห้องน้ำชั้น 5 ตึกนี้ และศาลดังกล่าว ก็ตั้งขึ้นเพื่อให้วิญญาณของเธอสงบครับ ห้องที่เธอใช้เข้าไปผูกคอตายนั้น เป็นห้องที่ใช้เก็บของสำหรับแม่บ้านในห้องน้ำครับ เห็นว่าทุกวันนี้ล็อกปิดตายไปเรียบร้อย (จริงเท็จยังไงไม่ขอฟันธงครับ แต่คืนที่ผมไป ห้องที่ว่านี้เค้าก็ล็อกไว้เช่นกัน) ตำนานของศาลในห้องน้ำนี่ก็มาก มายครับ เอาง่าย ๆ ลองคิดตามดู ว่าถ้ามีศาลตั้งไว้ในห้องน้ำ คุณกล้าเข้าไปไหม? ผมคนนึงล่ะครับ ไม่เอาแน่ ๆ ที่ดัง ๆ ก็มีเห็นนางรำ รำออกมาจากในศาล หรือไม่ก็ถ้าไปส่องกระจกในห้องน้ำห้องนี้ก็จะเห็นผู้หญิงคนที่เค้าผูกคอตาย
เพื่อนผมคนหนึ่งทันช่วงที่ศาลยังอยู่บนห้องน้ำด้วยนะครับ มันเล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนที่ไปสอบที่ ม.ลาดกระบัง อยู่ในห้องสอบก็ปวดฉี่ แต่ยังสอบไม่เสร็จก็เลยอั้นไว้ สอบเสร็จก็วิ่งมาเข้าห้องน้ำไม่มองอะไรรอบ ๆ ทั้งนั้น พอเสร็จธุระหันกลับมาเท่านั้นแหละ อื้อหือ... เจอศาลเข้าเต็ม ๆ ไอ้เพื่อนผมก็หันไปมองตาผู้ชายอีกคนที่เข้าห้องน้ำมาด้วยกันครับ มองเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรแบบต่างคนต่างเข้าใจ แล้วก็ค่อย ๆ เดินออกไปจากห้องน้ำแบบสงบ (มันมาเล่าให้ฟังทีหลังครับ ว่าตอนเห็นศาลนี่ฉี่เกือบเล็ดออกมาอีกรอบ)
ตำนานที่มาของศาลในห้องน้ำนี่มีอีกทฤษฎีนึงนะครับ นั่นก็คือเค้าว่าจริง ๆ ห้องน้ำห้องนี้ไม่เคยมีใครตายทั้งสิ้น ศาลที่เกิดขึ้นนั้นเค้าตั้งขึ้นมาเพราะตอนที่สร้างตึกวิศวะในห้องน้ำมีเสาตกน้ำมันข้อมูลตรงนี้ได้ถูกสนับสนุนโดยศิษย์เก่าท่านหนึ่งครับ เป็นรุ่นพี่รุ่นแรกที่ได้เรียนที่ ตึกวิศวะฯ หลังสร้างเสร็จ (ถ้าจะมีใครข้อมูลชัวร์สุด ก็คงคนนี้ล่ะครับ) เค้าเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกก็เป็นเสาตกน้ำมันธรรมดา ๆ นี่ล่ะ ซึ่งเมื่อมีเสาตกน้ำมันก็เป็นธรรมดาที่พวกแม่บ้านเค้าจะไปขูดหวยขอเลข พอถูกหวยหนัก ๆ เข้า ก็เลยสร้างศาลให้ตอบแทนเค้านั่นเอง
ตอนนี้ศาลดังกล่าวย้ายลงมาที่ชั้น 5 แล้วนะครับ เป็นศาลปูนใหญ่โต ชื่อศาลว่า "ศาลเจ้าแม่ศรีแพรทอง" อยู่ด้านหลังตึกวิศวะตึกเอนี่เอง ใครผ่านไปผ่านมาแวะไปสักการะกันได้ครับ
เรื่องราวดูเหมือนจะคลี่คลายนะครับ สำหรับตำนานศาลในห้องน้ำ ถ้าไม่มีบันทึกเมื่อ 40 ปีที่แล้วจาก สน. จระเข้น้อย ...ดาบตำรวจบุญเที่ยง สนธิ เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำ สน. จระเข้น้อย เล่าให้ฟังครับ ว่าเมื่อ 40 ปีก่อนนู้น ทั้งตำรวจ ทั้งอาจารย์ ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเคยมีนักศึกษาสาวผูกคอฆ่าตัวตายจริง เพียงแต่ไม่มีข้อมูลบันทึกไว้ว่าเธอเป็นใคร เพราะข้อมูลได้หายสาบสูญไปอย่างไม่ ทราบสาเหตุ ดาบตำรวจบุญเที่ยง สนธิ แกทิ้งท้ายไว้น่าฟังครับ ว่า "ถ้าเรื่องมันไม่มีส่วนจริง เค้าจะเล่ากันมาทำไมตั้งนาน" ก็ยังคงเป็นปริศนาดำมืดต่อไปครับ สำหรับเรื่องผีโคตรตำนานมหาวิทยาลัยไทย ศาลในห้องน้ำ
- ห้องน้ำที่สตูดิโอ ตึกสถาปัตย์
ที่มหาลัยนี้ผีในห้องน้ำดุครับ นอกจากวิศวะฯ แล้ว ห้องน้ำสถาปัตย์ก็ใช่ย่อย ห้องน้ำที่สตูดิโอ ตึกสถาปัตย์ เห็นว่าเคยมีนักศึกษาสาวต่างคณะคนหนึ่งไปประแป้งส่องกระจก ก็พูดกับเพื่อนว่า กระจกห้องน้ำห้องนี้ส่องแล้วสวยเนาะ ปัญหาคือห้องน้ำห้องนั้นมันไม่มีกระจกครับ เรื่องนี้น้องสาวสนิทผมคนหนึ่งยืนยันครับ เพราะเธอเจอมากับตัวว่าเห็นกระจกในห้องน้ำห้องที่ว่าจริง ๆ จนเพื่อนทักก็เลยกลับไปดูอีกที ซึ่งพอกลับไป ก็ไม่พบกระจกใด ๆ ในห้องน้ำแล้ว (หลาย ๆ คนก็ยังสงสัยครับ ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ติดกระจก)
- ตึกทรงไทย สถาปัตย์
เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่ามากแล้วครับ คือมันจะมีทางเดินเส้นหนึ่งครับ เชื่อมระหว่างตึกสถาปัตย์ไปยังตึกทรงไทย เป็นทางเดินตรงยาว มีซุ้มหลังคา เรื่องนี้เห็นว่ามีคนพบเจอกันเยอะมากครับ เล่าว่าตอนกลางคืนเด็กทำงานกันเสร็จก็เดินจะกลับหอ พอเดินมาถึงบริเวณทางเดินอันนี้ มีหลายคนเลยครับบอกว่าพบผู้หญิงในชุดรำไทยเต็มยศ ยืนขวางทางเดินอยู่ แล้วพอเราอึ้งได้ซักพัก ผู้หญิงคนนี้เค้าจะรำ ไม่ได้แค่รำอย่างเดียวนะครับ ระหว่างที่รำ เท้าของเธอจะลอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ รำไปลอยไป จนศีรษะของเธอติดหลังคา เธอก็ยังไม่ยอมหยุดลอยครับ ยังคงรำไปลอยต่อไปเรื่อย ๆ จนคอเธอหักคาหลังคา
เรื่องนี้เห็นว่าแต่ก่อนนี่โดนกันเยอะจริงๆครับ จนทางมหาลัยต้องนำเอาหลังคาที่ว่านั้นออกไป (เหมือนกับหลังคาตรงนี้น่าจะไปสร้างทับที่เค้า) ผมไปดูทางเดินตรงนี้มาเล่นเอาขนลุกเลยครับ เพราะเจอตอคล้าย ๆ เสาเชื่อมหลังคาเป็นจุด ๆ หลายอัน สรุปหลังคาเคยมีครับ แล้วโดนตัดออกไปนี่ผมยืนยันเลยว่าเรื่องจริง แต่จะโดนตัดออกไปเพราะอะไร ตรงนี้ไม่ทราบครับ...
ตอนที่อยู่ที่ตึกทรงไทย ข้าง ๆ กันก็มีชมรมซ้อมดนตรีไทยกันอยู่ครับ (ตอนแรกก็หลอนแหละ ได้ยินเสียงดนตรีไทยนึกว่าโดนแล้ว) จนขากลับมาคุยกับคุณฟิล์มเพื่อนผม มันบอกร้องเอื้อนได้น่ากลัวเป็นบ้า ผมก็เหวอสิครับ เพราะไอ้เสียงดนตรีไทยที่ได้ยินกันตั้งหลายคนน่ะ มันไม่มีเสียงเอื้อนอะไรเลยนะเว้ยยย ก็กลับไปถามทันทีครับ ว่าที่พี่ ๆ เค้าเล่นดนตรีกันอยู่มันมีท่อนเอื้อนด้วยรึเปล่า คำตอบคือไม่มีครับ (แล้วที่ฟิล์มได้ยินมันคืออะไรรรรร !!??) ฟิล์มเล่าว่า เป็นเสียงเอื้อนตามเพลงของผู้หญิงครับ เอื้อนได้เหงาจับจิตเลย
สำหรับเรื่องสุดท้ายที่ได้ยินมา ผมว่าเพ้อเจ้อไปหน่อยครับ 55555 ที่ห้องเคมี 1 ตึกวิทย์เก่า ว่ากันว่าเคยมีนักศึกษาทำแล็บ แล้วพลาดเกิดระเบิดขึ้น จากนั้นวันดีคืนดีพี่ยามจะเห็นภาพหลอน เหมือนห้องแล็บนั้นระเบิดแสงวาบขึ้นมา เสียงดังสนั่น แต่พอมองอีกทีก็ไม่มีอะไรปกติ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)