วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าสยองขวัญ แรงอาฆาตผีหัวขาด


     “การตายแล้วเกิด” ถือได้ว่าเป็นหลักธรรมดาสำหรับผู้ที่ยังมี “กิเลส” จะต้องเจอ แต่จะไปเกิดเป็นอะไรนั้น หรือจะไปเกิดภพภูมิใดนั้น อันนี้ขึ้นอยู่กับ บุญกรรม ที่ได้ทำไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และก่อนที่จะไปเกิดนี้ “วิญญาณ” จะไม่สูญสลายไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่กับสถานที่ที่เคยเกี่ยวข้อง หรือไม่ก็บุคคลที่เคยมีความสัมพันธ์ ผูกพันกันในขณะที่มีชีวิตอยู่ ถ้าเคยทำความดีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อตายลงก็ต้องไปจุติยังภพภูมิต่าง ๆ บ้างก็มาปรากฎในลักษณะของเทพ เทวดา นางฟ้าบ้าง แต่ถ้าใครเคยทำกรรมชั่ว ละเมิดศีล ๕ แล้วล่ะก็ หากตายไปก็ต้องไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย ภูตผีปีศาจ ในรูปแบบต่าง ๆ กัน จนทำให้มีผู้คนพบเห็น ต่างหวาดผวาไปตาม ๆ กันหากท่านต้องการทราบเรื่องราวต่าง ๆ หลังความตายแล้วล่ะก็ ติดตามเรามาซิ แล้วคุณคงจะหาคำตอบได้อย่างชัดเจน ถึงคำกล่าวที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” นั้น ไม่สูญหายไปไหนแน่นอน เพื่อยืนยันเรื่องราวเหล่านี้ ก็ต้องค้นหาความจริงกันได้ ณ บัดนี้
ผู้เขียนทราบข่าวที่น่าสนใจจาก คุณแดง ใจสงบ โทรศัพท์แจ้งมาว่า มีผู้มีประสบการณ์เกี่ยวกับ วิญญาณผีหัวขาดที่ตายไปในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒ คุณแดงได้กรุณาบอกชื่อ บ้านเลขที่ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ให้เรียบร้อย จึงขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย
และแล้วในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ ผู้เขียนและคณะก็ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ ตามที่ได้นัดหมายไว้กับ คุณองุ่น อร่ามหนุน ที่บ้านเลขที่ ๑๕๒ ซอยคุณพระ (เก่า) ถนนเทอดไท แขวงตลาดพลู เขตธนบุรี กรุงเทพ ฯ ขณะที่ไปถึงบ้าน คุณองุ่นกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารอยู่พอดี เมื่อเห็นผู้เขียนและคณะไปถึง เธอก็รีบกุลีกุจอต้อนรับขับสู้อย่างดี

     คุณองุ่นเล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณวันที่ ๑๕- ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ รวมเวลาแล้วก็ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว (นับถึงวันที่เล่าเรื่อง ในปี พ.ศ.๒๕๓๔ – อ.เล็ก) เหตุการณ์อันน่าตื่นเต้น และลึกลับนี้เกิดขึ้นกับ คุณประเทือง ชอบสะอาด อายุ ๓๕ ปี ซึ่งเกี่ยวข้องเป็นลูกเขยคุณองุ่นนั่นเอง คุณประเทืองมีภรรยาชื่อ คุณนพรัตน์ ชอบสะอาด
วันนั้น คุณประเทือง ได้ขับรถสามล้อไปตามเส้นทางถนนสายธนบุรี – ปากท่อ แล้วเขาก็ได้จอดรถลงข้างทาง และ ลงจากรถไปสุมไฟที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ข้างทางนั้น (ก่อนตาย คุณประเทืองไม่ได้บอกว่า เพราะอะไรจึงลงไปสุมไฟ) ในขณะที่เขากำลังสุมไฟอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงผู้ชาย ๒ คน กำลังถกเถียงกันอยู่ (ได้ยินแต่ไม่เห็นตัวตน) เสียงนั้นเถียงกันว่า
“กูจะไป มึงจะไปหรือเปล่า” อีกเสียงหนึ่งก็ตอบว่า “กูไม่ไป” ฟังทั้งสองคนเถียงกันอยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง แล้วคุณประเทืองก็ขับรถกลับบ้าน
ขณะที่ขับรถมานั้น เขาก็เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวด้วยชุดสีกากี นั่งมาในรถด้วย ตอนนั้นความรู้สึกมันบอกว่า ไม่ใช่คนแน่ ๆ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนใจแข็ง ไม่เคยกลัวเรื่องผีสางต่าง ๆ เขาจึงไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่ได้เห็น เขาขับรถมาจนถึงบ้าน และได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ทางบ้านฟัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
ตั้งแต่วันนั้นมา คุณประเทือง ก็จะได้ยินเสียงกระซิบอยู่ข้าง ๆ หูอยู่เสมอว่า ให้เขาเดินไปที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง ผลุดลุกผลุดนั่งอยู่ตลอดเวลา พวกญาติพี่น้อง รวมทั้งภรรยา ต้องคอยดูแล คอยจับกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้คลาดสายตา เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน
บางครั้งคุณประเทืองก็จะนั่งพูดอยู่คนเดียว ไม่พูดคุยกับใคร ข้าวปลาก็ไม่ยอมกิน กินแต่กาแฟดำ และสูบบุหรี่มวนต่อมวนเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่ตามปกติแล้ว เขาไม่ชอบกินกาแฟดำ หรือ เคยสูบบุหรี่มาก่อนเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ญาติ ๆ เป็นห่วงมาก จึงพาไปรักษาสถานที่ต่าง ๆ เพื่อจะให้เขาหายจากอาการประหลาดนี้ และแล้วญาติพี่น้องก็ได้นำเขาไป ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ เป็นผู้รักษา คุณประเทืองได้พูดกับอาจารย์ผู้นั้นว่า
“กูไม่ได้ชื่อประเทือง กูคือ ผีหัวขาด”อาจารย์จึงได้ให้ด้ายสายสิญจน์เขาไว้คล้องคอ เขาก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด แต่พอกลับมาถึงบ้าน เขาก็ดึงสายสิญจน์ออกจนขาด ไม่ยอมคล้องไว้ที่คออีก ช่วงที่คุณประเทืองมีอาการเหล่านี้อยู่ บางขณะเขาก็จะเป็นตัวของตัวเอง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พูดคุยตามปกติได้ เมื่อมีคนถามว่า รู้หรือเปล่าว่าตัวเองเป็นอะไร เขาก็จะตอบว่า“ผมตายลงเมื่อไร ทุกคนก็จะรู้ความจริงว่า ผมเป็นอะไร”แต่คุณประเทืองก็เป็นตัวของตัวเองได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงมากระซิบที่ข้างหูอีก ด้วยความกลัว เขาจึงพยายามที่จะหนีเสียงกระซิบที่คอยสั่งให้ตนไปที่โน่นที่นี่ให้พ้นให้ได้ เขาจึงหนีไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งที่บ้านของเพื่อนคนนี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แต่ถึงอย่างไร เขาก็หนีจากเสียงกระซิบไปไม่พ้นขณะที่คุณประเทืองอยู่ในบ้านเพื่อนนั้น จะได้ยินเสียงเรียกชื่อตนอยู่หน้าบ้าน เรียกให้ออกไปข้างนอก เขาก็พยายามฝืน ไม่ยอมออกไปตามเสียงเรียกนั้น แต่ในที่สุด เขาก็อดรนทนต่อเสียงเรียกนั้นไม่ไหว จึงต้องออกไปตามเสียงเรียกนั้น ในระหว่างที่เขาไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนอยู่นั้น เพื่อนคนนั้นก้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเช่นกัน ในที่สุด ภรรยาและญาติ ๆ จึงต้องพากลับมาอยู่บ้าน และต้องคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา
ต่อมาวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๑ ก็เกิดเหตุการณ์น่าเศร้าสลดขึ้น โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลย นั่นคือ คุณประเทืองได้เดินเข้าไปในห้องนอนของตน แล้วใช้เชือกผูกคอตาย ขณะนั้น ญาติพี่น้องก็ช่วยกันตามหาจนทั่ว ไม่ทราบว่าเขาหายไปไหน ผู้เป็นแม่นึกเอะใจ จึงเดินเข้าไปดูในห้องนอนของเขา ผู้เป็นแม่ก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อมองไปดูที่หลังประตูห้องนอน ก็พบกับร่างของเขาห้อยโตงเตงอยู่ โดยผูกเชือกกับขื่อบ้าน จึงร้องตะโกนให้คนมาช่วยกันอุ้มร่างเขาลงมา แต่ก็พบว่าเขาสิ้นใจตายเสียแล้ว
สิ่งที่ทำความแปลกใจให้กับพวกญาติ ๆ ก็คือ ตรงบริเวณรอบ ๆ คอ ของเขานั้น มีรอยนิ้วทั้ง ๕ นิ้ว ขย้ำไว้เป็นรอยแดง ๆ ลักษณะเหมือนถูกบีบคอตามปกติคนที่ผูกคอตาย ลิ้นจะต้องห้อย ตาถลนออกมา แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ลักษณะของเขาเหมือนคนตายธรรมดา เพียงแต่มีรอยแดง ๆ ที่คอเท่านั้น
พวกญาติ ๆ ได้นำศพไปพิสูจน์ที่โรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลได้ลงความเห็นว่า เป็นการผูกคอตาย แต่พวกญาติ ๆ รู้ดีว่าคุณประเทืองคงจะไม่ได้ผูกคอตายเองแน่นอน เพราะตอนที่เขายังไม่เจอกับเหตุการณ์นี้ ยังเป็นปกติอยู่นั้น เขามักจะพูดกับเพื่อน ๆ อยู่เสมอว่า “คนที่ฆ่าตัวตาย คือคนโง่” แต่ที่เขาผูกคอตายครั้งนี้ คงจะเป็นเพราะเขาถูกบังคับจากเสียงกระซิบที่เขาได้ยิน บังคับให้เขาทำอัตตวินิบาตกรรมครั้งนี้ขึ้นก็ได้หลังจากที่เผาศพคุณประเทืองเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมาอีก นั่นคือ หญิงสาวซึ่งมีบ้านอยู่บริเวณใกล้ ๆ กันนั้น มีอายุประมาณ ๑๘ ปี ปรากฎว่าวิญญาณที่เคยทำให้คุณประเทืองตาย ได้มาแฝงร่างหญิงสาวคนนี้ และได้พูดว่า“ข้าชื่อ พงษ์เทพ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ได้ทะเลาะกับเพื่อนคนหนึ่ง ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ แล้วเกิดขัดใจกัน เพื่อนจึงฟันคอข้าขาดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วต่อมา นายประเทืองได้ไปสุมไฟที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น เขาทำลายที่อยู่ของข้า ทำให้ข้าไม่มีที่อยู่ ข้าจึงต้องฆ่ามันตาย”ขณะนั้น มีคนหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ทำไม ต้องทำเขาถึงตายด้วย” เขาก็ตอบว่า “ก็มันมาทำลายบ้านข้า ข้าจึงเอามันถึงตาย” แล้วชาวบ้านอีกคนหนึ่งก็พูดขอว่า “อย่าทำร้ายคนอื่นอีกได้ไหม พวกเราจะตั้งศาลเพียงตาให้” เขาก็ตอบว่า “ได้”และแล้ว คนนั้นก็ถามต่ออีกว่า “นอกจากศาลเพียงตาแล้ว จะเอาอะไรอีกมั๊ย” เขาตอบว่า “ขอรองเท้าบู๊ท ๑ คู่ หมวก ๑ ใบ ชุดกากี ๑ ชุด”
มีชาวบ้านอีกคนพูดเสริมขึ้นว่า “เอาล่ะ เราจะทำหัวจำลองไว้ให้ด้วย ขอแต่เพียงว่า ต่อไป อย่ามารบกวนอีกเลย” เขาก็รับปากว่า “ได้”หลังจากนั้นบรรดาญาติ ๆ ของคุณประเทือง และชาวบ้านก็ได้ทำพิธีตั้งศาลเพียงตาให้อย่างถูกต้อง พร้อมกับจัดของตามที่วิญญาณนั้นได้ขอไว้ครบหมดทุกอย่าง


     แต่ยังไม่ยุติลงแค่นั้น วิญญาณดวงนั้นยังคงวนเวียนอยู่ ยังไม่ไปผุดไปเกิด เพราะในเวลายามค่ำคืน ชาวบ้านแถบนั้นก็จะได้ยินเหมือนคนสวมรองเท้าบู๊ท เดินย่ำไปมาอยู่เสมอ ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของคนแถวนั้นมีอยู่รายหนึ่งมีอาชีพทำซาละเปาขาย คืนไหนที่ได้ยินเสียงรองเท้าบู๊ท ก็จะไม่กล้าลุกขึ้นมาทำซาละเปา ต้องรอให้สว่างก่อนจึงจะลงมือทำ ซึ่งก็ทำให้เดือดร้อนไม่น้อยนอกจากเสียงย่ำรองเท้าบู๊ทแล้ว บางคืนพวกชาวบ้านแถวนี้ก็จะได้ยินเสียงลากม้าหินดังครืดๆ และเสียงดังกึก ๆ เหมือนกับมีคนนั่งแล้วโยกไปมาชาวบ้านบางคนที่ใจกล้า อยากจะพิสูจน์ให้รู้แน่ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงอะไรกันแน่ จึงพากันแอบดูตามร่องกระดานว่า มีคนมาลากม้าหินนั้นหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครเห็น แต่ก็ยังได้ยินเสียงลากม้าหินนั้นเช่นเคย ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านแถวนั้นมากยิ่งขึ้น
สำหรับวิญญาณของคุณประเทือง หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว ได้มาปรากฎให้ภรรยาเห็นครั้งหนึ่งในห้องนอน ได้มายืนตรงปลายเตียง เห็นแต่ช่วงขา ซึ่งเธอคิดว่า เป็นพ่อของคุณประเทือง จึงร้องถามไปว่า
“พ่อเข้ามาทำไม” แต่เงียบ ไม่มีเสียงตอบ พอรุ่งเช้า เธอก็ได้ถามพ่อว่า“เมื่อคืนพ่อเข้าไปในห้องของฉันหรือเปล่า”พ่อก็ตอบว่า “เปล่า ไม่ได้เข้าไป”ทุกคนก็ลงความเห็นว่า คงเป็นวิญญาณของคุณประเทืองมาเยี่ยม นั่นเอง แล้วคุณล่ะ มีความเห็นอย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น