วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เรื่องเล่าสยองขวัญ กุมารทอง






กุมารทอง ถือเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ เชื่อว่าที่มาของกุมารทองเกิดมาจากความต้องการในการเลี้ยงภูติผีปีศาจไว้ใช้งาน โดยกุมารทองจะใช้วิญญาณของเด็กผู้ชาย แต่หากเป็นวิญญาณของเด็กผู้หญิง คนเลี้ยงจะเรียกชื่อว่า “โหงพราย” แทน

กุมารทองสร้างขึ้นมาจากวิญญาณของเด็กที่เสียชีวิตในท้องแม่ หรือที่ถูกเรียกว่าผีตายทั้งกลม ผู้ที่มีวิชาอาคมสูงจะนำเอาวิญญาณของเด็กเร่ร่อนมาเลี้ยงไว้เป็นลูก ซึ่งจากหลักฐานที่ค้นพบในเอกสารโบราณ ได้มีการระบุไว้ว่า การทำกุมารทองจะต้องหาศพที่ตายทั้งกลม แล้วนำมาประกอบพิธีกรรมเพื่อผ่าเอาศพของทารกในครรภ์มารดาออกมาย่างไฟให้แห้งสนิทก่อนจะถึงรุ่งอรุณของวันถันไป จากนั้นจึงนำศพที่แห้งมาลงรักปิดทองให้ทั่วทั้งตัว อันเป็นที่มาของชื่อเรียกว่า กุมารทอง นั่นเอง

เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี สภาพสังคมและวัฒนธรรมก็ถูกพัฒนาขึ้นไปมาก ทำให้ไม่สามารถสร้างกุมารทองจากศพทารกจริง ๆได้ ดังนั้น จึงมีการดัดแปลงพิธีกรรมในการสร้างกุมารทองขึ้น โดยเปลี่ยนเป็นการใช้ดินจากเด็ดป่าช้าแทน และนำไม้รักซ้อนหรือไม้มะยมบ้าง รวมไปจนถึงโลหะ มาสร้างเป็นรูปกุมาร จากนั้นจึงปลุกเสก ตั้งจิต ตั้งธาตุทั้ง 4 และเรียกอาการสามสิบสองให้มาบังเกิดเป็นจิตวิญญาณของเด็กขึ้นมา

ลักษณะของกุมารทองในปัจจุบันนิยมสร้างเป็นรูปเด็กไว้จุก และนุ่งโจงกระเบนแบบโบราณ กุมารทองกลายเป็นเครื่องรางของขลังที่เชื่อกันว่าเสมือนมีวิญญาณของเด็กมาสิงอยู่ในรูปกุมารนั้นจริง และผู้บูชาต้องเลี้ยงดูกุมารทองเหมือนลูกของตน โดยต้องมีการให้ข้าว ให้น้ำ เพื่อเซ่นสรวง ซึ่งปัจจุบันผู้บูชานิยมไหว้กุมารทองด้วยน้ำแดง

กล่าวกันว่า หากผู้บูชาปฏิบัติเลี้ยงดูกุมารทองอย่างดี กุมารทองก็จะช่วยค้ำคูณ คุ้มครองป้องกันเจ้าของจากสิ่งไม่ดีทั้งหลายได้ โดยกุมารทองจะคอยติดตามเฝ้าระวังบ้านเรือนจากโจรผู้ร้ายไม่ให้สามารถมากล้ำกรายได้เลย อีกทั้งยังช่วยให้ทำมาค้าขึ้น รวมไปถึงสามารถช่วยเตือนภัยล่วงหน้าให้แก่เจ้าของได้อีกด้วย

เรื่องราวของกุมารทองก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถูกกล่าวถึงในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผน เป็นต้น หรือบางครั้งก็นับลูกกรอกเป็นกุมารทองด้วย ส่วนเครื่องรางอีกประเภทหนึ่งที่คล้ายกันมีชื่อเรียกว่ารักยม ก็ถือเป็นที่นิยมบูชาเทียบเท่ากันกับกุมารทอง และเป็นที่รู้จักทั่วไปในสังคมไทย

เรื่องเล่าสยองขวัญ ซอมบี้


ผีซอมบี้ (Zombies) เป็นผีดิบพวกหนึ่งที่มักจะถูกพ่อมดหมอผีปลุกขึ้นมา เพื่อหวังจะนำมาใช้งานตามคำสั่งของตน และแต่ละครั้งที่ปลุกขึ้นมาก็จะปลุกขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

ประวัติความเป็นมาของผีดิบซอมบี้
ซอมบี้ หรือ ผีดิบเดินได้ เกิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนริมฝั่งทะเลคาริบเบียน และถูกเผยแพร่ไปตามส่วนต่างๆของทวีปยุโรป ผู้ที่มักปลุกผีดิบพวกนี้ขึ้นมาจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เช่น บรรดาพ่อมด หมอผี หรือผู้รอบรู้เกี่ยวกับมนต์ดำในลัทธิวูดู ซึ่งถือเป็นลัทธิหนึ่งที่นิยมปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้งโดยมนตราลึกลับ เพื่ออ้อนวอนต่อเทพเจ้าแห่งปีศาจและความชั่วร้ายที่มีชื่อว่า “เวสตู” ซึ่งลัทธิวูดูไม่ได้มีแต่การเรียกศพฟื้นคืนชีพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีการสาปแช่งและสังหารศัตรูด้วยอำนาจของมนต์ดำอีกด้วย

ลักษณะของซอมบี้จะผอมโซ เคลื่อนที่ช้า แต่หากเป็นซอมบี้ ที่ชื่อว่า น็อตซือเฮอเรอร์(nachtzeher) จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมากกว่าซอมบี้โดยปกติทั่วไป ซอมบี้ที่ตายไปแล้ว มักจะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากมนต์ดำและมักจะไม่ทำร้ายผู้อื่น นอกเสียจากว่า ซอมบี้ตัวนั้นจะถูกปลุกขึ้นมาโดยหมอผีหรือผู้ที่นับถือลัทธินอกรีต ซึ่งจะทำให้ซอมบี้มีนิสัยดุร้าย และชอบกัดกินซากสัตว์ต่างๆหรือซากศพคนตายตามสุสาน

ส่วนซอมบี้ที่ถูกดัดแปลงจะเป็นซอมบี้ที่โดนพวกนักวิทยาศาสตร์ด้านชีวเคมีนำมาผ่าตัดแปลงร่าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นพวกแฟรงเก้นสไตน์นั่นเอง แต่ซอมบี้ที่มักปรากฏในเกมหรือภาพยนตร์จะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากการทดลองเกี่ยวกับไวรัสหรือปรสิต ซึ่งมีการเคลื่อนไหว่ที่เชื้องช้า มนุษย์คนใดที่โดนซอมบี้พวกนี้ทำร้ายโดยการกัดหรือข่วน ก็จะทำให้บุคคลผู้นั้นกลายร่างไปเป็นซอมบี้ตามไปด้วยในไม่ช้า

ซอมบี้จะมีลักษณะเป็นคนหน้าขาวซีด ตาขาว มีฟันเหลืองและเลื่อมกัน มีเลือดชุ่มไปทั้งตัว ทำให้ดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ซอมบี้มีจุดอ่อนที่ส่วนหัวเนื่องจากมักจะถูกไวรัสควบคุมที่สมอง การใช้อาวุธมีคม เช่น ขวาน หรือ ดาบ ฟันเข้าที่หัวของซอมบี้จะทำให้มันหยุดชะงักไปได้

ส่วนภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่วกับซอมบี้โด่งดังที่สุดและเปฎ็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็คือภาพยนตร์เรื่อง “Resident Evil (ผีชีวะ)” ทั้ง 3 ภาค ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาที่ดัดแปลงมาจากเกม Resident Evil นั่นเอง

วิธีการปลุกผีดิบซอมบี้
ศพที่สามารถนำมาใช้ในพิธีการปลุกซอมบี้ปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ สภาพของผีดิบซอมบี้นั้นจะต้องเป็นศพที่เพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน และควรมีสภาพศพที่ยังอยู่ไม่เน่าเปื่อยหรือเนื้อยุ่ยจนเหลือแต่กระดูก มิเช่นนั้นซอมบี้ที่ปลุกขึ้นมาอาจจะไม่สามารถเคลื่อนตัวได้เพราะร่างไม่สมประกอบ

วิธีการนำศพมาทำพิธี

วิธีการที่จะได้ศพมาใช้ในพิธีการนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของบรรดาพ่อมด หมอผี หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับลัทธิวูดู ว่าจะออกไปสรรหาศพสภาพไหนมาได้ ยกตัวอย่างการได้มาดังต่อไปนี้

1. ขโมยมาจากสุสาน
ส่วนใหญ่บรรดาพ่อมดหมอผีจะนิยมสั่งให้ลูกน้องของตนไปขุดเอาศพขึ้นมาจากหลุมศพของผู้ตาย ซึ่งหาได้ตามสุสานหรือป่าช้า ดังนั้น ในยุคที่มีหมอผีนิยมมาขโมยศพไปทำผีดิบซอมบี้ ญาติของผู้ตายจึงจำเป็นต้องคอยผลัดเวรกันมาเฝ้าศพเอาไว้ หรืออาจจะว่าจ้างให้มีคนมาคอยดูแลเฝ้าศพเอาไว้ ไม่ให้มีใครมาขโมยไปก่อนที่ศพจะเน่าจนไม่สามารถนำเอาไปทำซอมบี้ได้



2. ขโมยศพออกมาจากโรงพยาบาล
วิธีนี้เป็นอีกวิธีในการได้ศพมา แต่ค่อนข้างจะเสี่ยงมากกว่าวิธีแรกสักเล็กน้อย การได้มาด้วยวิธีนี้ได้รับการยืนยันจากนายคลาอุส นารุคิส ชาวเฮติ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์การเสียชีวิตด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตแล้วฟื้นคืนชีพมาแล้ว ในตอนนั้น เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าเขาถูกนำตัวไปไว้อยู่ที่กระท่อมกลางนา และเห็นว่าผู้ที่นำเขามาคือน้องชายตัวแสบแท้ๆของเขานั่นเอง น้องชายได้ร่วมมือกับหมอผีเพื่อจะนำร่างของเขามาทำซอมบี้ แต่ความจำของเขาค่อยๆกลับมา และสามารถจำได้ว่าตัวเองเป็นใครในที่สุด เมื่อน้องชายและหมอผีเสียชีวิต ชายผู้นี้จึงเดินทางกลับบ้านเกิดของตน และนำเรื่องมาเล่าให้คนอื่นไดฟังต่อไปได้อย่างถูกต้อง



ลักษณะและความสามารถพิเศษของซอมบี้
โดยสภาพทั่วไปของซอมบี้จะมีลักษณะแข็งทื่อ ไร้ความคิด ไร้จิตใจ แต่มีความอดทนและแข็งแรงมาก สามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่างแบบไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย  และเมื่อผีดิบถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยมนตรา พวกมันจะยอมทำตามเจ้าของในคำสั่งทุกประการ ทำให้เจ้าของสามารถใช้งานให้ซอมบี้ทำอะไรก็ได้ตามที่ตนเองต้องการ



อิทธิฤทธิ์ วิธีการป้องกัน และการจัดการกับซอมบี้
เนื่องจากผีดิบซอมบี้มีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และยังไม่กลัวแสงแดดเหมือนกับผีชนิดอื่นด้วย เวลาจัดการกับซอมบี้ พวกมันก็จะไม่รู้สึกอะไรเลยจนกว่าจะสามารถทำลายให้มันเละไปคามือ การฆ่าซอมบี้จึงต้องใช้ฝีมือสักหน่อย โดยวิธีการที่จะสามารถหยุดยั้งมันได้ ควรจะต้องใช้อาวุธแรงๆอย่างปืนไฟหรือจรวด จึงจะพอสามารถปราบซอมบี้ลงได้ แต่ถ้าไร้อาวุธในมือก็แนะนำให้วิ่งหนีจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

เรื่องเล่าสยองขวัญ แฟรงเก็นสไตน์






ตำนานผี แฟรงเก็นสไตน์ เป็นผีอินเตอร์ที่เป็นที่รู้จักไม่แพ้กับท่านเคาท์แดร๊คคูล่า แวมไพร์ ซอมบี้ มนุษย์หมาป่า หรือมัมมี่

ประวัติความเป็นมา

แฟรงเก็นสไตน์ไม่ใช่ชื่อของผีดิบสุดขี้เหร่ และมีน็อตโผล่ออกมาจากขมับข้างศีรษะทั้งสองข้างแต่อย่างใด แต่ชื่อนี้เป็นชื่อของนายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ก่อร่างสร้างตัวมันขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือ ดร.แฟรงเก็นสไตน์ นั่นเอง

ส่วนในหนังสือที่ แมรี่ เชลลี่ย์ ประพันธ์เอาไว้ เธอกลับเรียกเจ้าผีดิบหน้าตาไม่หล่อตัวนี้ว่า “มอนสเตอร์” ( Monster ) หรือที่แปลว่า อสูรกาย เดิมทีเจ้าแฟรงเก็นสไตน์ไม่ได้มีฐานะเป็นบารอน แต่ตำแหน่งที่สูงส่งนี้ได้มาในตอนหลังที่นิยายเรื่องดังกล่าวถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ และเพื่ออยากจะให้ท่านบารอนแฟรงเก็นสไตน์เป็นคู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีกับท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า เนื้อเรื่องในภาพยนตร์จึงถูกดัดแปลงและต่อเติมซะแทบจะไม่มีเค้าโครงของเรื่องเดิมเหลืออยู่เลย

เจ้าผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ตัวนี้ ถูกสร้างขึ้นมาจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาศัยการผ่าตัดสมอง เปลี่ยนชิ้นส่วน ของอวัยวะ ตัดๆและเย็บๆไปทั่วทั้งตัวโดยเฉพาะรอยเย็บตามใบหน้า ที่เป็นเหตุผลให้เจ้าผีดิบร้ายตัวนี้มีหน้าตาที่ค่อนข้างอัปลักษณ์และไม่หล่อเหล่าอย่างเคาท์แดร๊คคูล่า และด้วยความที่เจ้าผีดิบแฟรงเก็นสไตน์มีหน้าตาที่เต็มไปด้วยรอยแผลเช่นนี้ จึงช่วยเพิ่มความน่ากลัวสยดสยองให้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว



จุดกำเนิดของนิยายสยองขวัญแฟรงเก็นสไตน์

ผู้สรรค์สร้างเจ้าผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ตัวนี้ขึ้นมา ก็คือ แมรี่ เชลลี่ย์ ซึ่งเป็นนักประพันธ์วัยรุ่นสาวสวย ที่มีอายุเพียง 20 ปีเศษๆ และเธอเป็นภรรยาของ เปอร์ซี่ เชลลี่ย์ ซึ่งเป็นยอดกวีที่แต่งนิยายโรแมนติก ผู้เป็นเพื่อนคนสนิทของท่านลอร์ดไบรอน ยอดกวีชื่อดังเรื่องนิยายรัก

เรื่องราวของผีดิบตนนี้เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ เมื่อศิลปินทั้งสามได้เดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกันที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ แต่ในช่วงเวลาที่ทั้งสามคนไปเที่ยวกลับมีภูมิอากาศอันแสนเลวร้าย ทำให้พวกเขาอดออกไปชื่นชมดินแดนอันแสนงดงาม และต้องนั่งจับเจ่าอยู่แต่ในบ้านพักแทน

ระหว่างที่ไม่มีอะไรทำ ทั้งสามจึงชวนกันแต่งนิยายผีสยองขวัญกันขึ้นคนละหนึ่งเรื่องเพื่อแก้เซ็ง ซึ่งมีเพียงแมรี่เชลลี่ย์ ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถแต่งนิยายเรื่องผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ ขึ้นมาได้จนจบเรื่อง และตั้งแต่วันนั้นในช่วงปี ค.ศ. 1816 หรือ พ.ศ. 2359 นิยายเรื่องดังกล่าวก็มีชื่อเสียงโด่งดังไกลไปทั่วโลกตราบจนถึงทุกวันนี้



อิทธิฤทธิ์ของแฟงเก็นสไตน์

ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์เป็นผีดิบที่มีวัตถุประสงค์การสร้างเหมือนกับผีดิบทั่วไป นั่นคือ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำตามคำสั่งของเจ้านาย ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์เป็นผีที่มีพละกำลังมากมายมหาศาล สามารถทำงานได้ต่อเนื่องแบบไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย แม้จะไม่มีอาหารหรือเลือดพลังของมันก็ไม่มีวันหมดไปเลย  อีกทั้งยังยิง แทง หรือฟันไม่เข้าเหมือนกับลงยันต์เอาไว้



วิธีต่อสู้และป้องกันเจ้าแฟรงเก็นสไตน์

เนื่องจากผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ มันจึงไม่เกรงกลัวไม้กางเขน กระเทียม พระเครื่อง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด แต่ถ้าโดนอาวุธขนาดใหญ่อย่างจรวดหรือขีปนาวุธเข้าอย่างจัง ก็คงไม่เหลือชีวิตกลับมาได้เหมือนกัน



การถ่ายทอดหรือการรักษาเผ่าพันธุ์

ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์ไม่ได้ถูกสร้างจากสิ่งมีชีวิต การขยายพันธุ์ของมันจึงแตกต่างออกไปจากผีตัวอื่นๆ ผีดิบแฟรงเก็นสไตน์อาจจะขยายเผ่าพันธุ์โดยการนำศพมาผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ แต่ก็ยังคงเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เพราะยังไม่มีใครรับรองได้ว่าการใช้วิธีผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะจะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพกลับขึ้นมาอีกครั้งได้ แต่คาดการณ์ว่าอาจจะมีการทดลองอย่างลับๆอยู่อย่างต่อเนื่อง

เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีถ้วยแก้ว





ผีถ้วยแก้ว ถือเป็นการละเล่นโบราณที่ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล โดยหลักการจะเป็นการอัญเชิญดวงวิญญาณหรือผีมาสิงสถิตในถ้วยแก้ว จากนั้นผู้เล่นก็จะสอบถามคำถามต่างๆแก่ดวงวิญญาณ ส่วนดวงวิญญาณที่สิงในถ้วยแก้วก็จะตอบคำถามเหล่านั้นโดยการเคลื่อนถ้วยแก้วไปตามตัวอักษรต่างๆที่เขียนเอาไว้บนแผ่นกระดาษ ซึ่งจะประกอบขึ้นเป็นคำตอบต่างๆ

ผีถ้วยแก้ว

ศาสตร์เร้นลับเรื่องการติดต่อสื่อสารระหว่างวิญญาณกับมนุษย์ ถือเป็นเรื่องราวที่มนุษย์พยายามค้นหาคำตอบและทดลองเล่นกันมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็เชื่อว่าน่าจะเคยได้ยินเรื่องราว หรือบางคนอาจจะเคยทดลองเล่นกับตัวมาแล้ว การเล่นผีถ้วยแก้วถือเป็นการท้าทายความกล้า และกล้าเผชิญหน้ากับความกลัวเพื่อหวังจะพิสูจน์เรื่องราวลึกลับที่ยังไม่มีใครรู้คำตอบ

การถามไถ่ความจริงจากผีด้วยการเล่นผีถ้วยแก้วนี้ อาจจะยังเป็นที่สงสัยของกลุ่มคนบางกลุ่มว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ซึ่งจากการสอบถามเกจิอาจารย์ชื่อดังท่านหนึ่งว่า “ผี” หรือ “วิญญาณ” สามารถเข้ามาสิงอยู่ในถ้วยแก้วได้จริงหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่า “จริง” เพียงแต่ว่าวิญญาณของผีเร่ร่อนอาจจะไม่ได้ตอบคำถามตามความจริง เพราะวิญญาณเหล่านั้นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าไร หรือบางครั้งการเชิญวิญญาณอาจเกิดการสวมรอยขึ้น กล่าวคือวิญญาณที่ไม่ได้รับเชิญกลับเข้ามาสิงในถ้วยแก้วแทนวิญญาณที่เราต้องการถามเรื่องราว ดังนั้น จึงควรพึงสังวรณ์ไว้ว่า การอัญเชิญดวงจิตหรือดวงวิญญาณมาเพื่อสื่อสาร ก็เปรียบเหมือนกับการที่เราพยายามจะติดต่อกับใครสักคนโดยการโทรศัพท์ หรือเดินไปเคาะหน้าประตูบ้าน หากต้นสายปลายโทรศัพท์ไม่วางจะรับสายหรือเจ้าของบ้านไม่อยู่ก็ย่อมมีบุคคลอื่นเข้ามาสวมรอยรับโทรศัพท์หรือเปิดประตูบ้านให้คุณได้เสมอ แต่หากการสื่อสารเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ก็คงจะเป็นการสื่อสารข้ามมิติที่น่าอัศจรรย์ใจในรูปแบบหนึ่ง



ข้อควรระวัง!!

การเล่นผีถ้วยแก้วต้องอย่ามัวแต่มองถึงความสนุกเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะระมัดระวังตัวให้ดีเมื่อคิดจะสื่อสารกับวิญญาณหรือสิ่งที่เรามองไม่เห็น ผู้เล่นผีถ้วยแก้วควรจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพดี และมีจิตใจที่แน่วแน่ จึงจะทำให้การเรียนรู้และสื่อสารเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งต้องระวังไม่ให้ถ้วยแก้วเปิดหรือระวังไม่ให้ควันไหลออกไปจากถ้วยแก้วก่อนจะสิ้นสุดการเล่น เพราะมีความเชื่อกันว่า ดวงวิญญาณที่สิงอยู่ในถ้วยแก้วนั้นอาจจะหนีออกจากถ้วยแก้วไปก่อนจะจบการเล่นได้ หรือบางครั้งก็อาจจะกลับเข้ามาสิงร่างตัวคุณหรือเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆคุณก็เป็นได้ ซึ่งของอย่างนี้ก็ต้องแล้วแต่กรณีไป

เรื่องเล่าสยองขวัญ ควายธนู






“ควายธนู” เป็นการเล่นของทางไสยศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันมาเป็นระยะเวลานานแล้ว คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ควายธนูเป็นศาสตร์ไสยดำที่ได้รับอิทธิพลความเชื่อมาจากคนป่าชาวแอฟริกาที่ร่ำเรียนวิชาวูดู โดยควายธนูที่คนไทยรู้จักกัน เป็นสิ่งที่นิยมเล่นกันในแถบจัหวัดในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เรื่อยไปจนถึงบริเวณที่เป็นอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา(เขมร) โดยหมอผีเขมรจะนิยมเล่นศาสตร์มืดโดยใช้ควายธนูไปลอบทำร้ายศัตรูได้อย่างเฉียบขาด จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นวิชามารที่ทำร้ายได้ทุกอย่าง

ควายธนูใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวสำหรับคนโบราณที่มีวิชาอาคม เนื่องจากควายธนูเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่มีไว้ทำลายล้างศัตรู  ที่ยากที่จะทำลายหรือล้มมันได้ด้วยอาวุธธรรมดา การแก้มนตร์ดำจากควายธนูจะต้องแก้ไขด้วยเวทวิทยาที่มีอาคมที่แข็งแกร่งมากกว่าเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือ ควายธนูเป็นสัตว์ที่มีอาคมร้ายแรง ผู้ที่คอยเลี้ยงดูต้องควบคุมให้เชื่องตลอดเวลา เพราะหากดูแลไม่ดี ความร้ายกาจของควายธนูอาจย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของได้



การสร้าง “ควายธนู” มีพิธีกรรมการสร้างที่ซับซ้อนยุ่งยาก ดังต่อไปนี้

วิธีการสร้างควายธนู เริ่มต้นจากการหาไม้มาขึ้นเป็นโครงก่อน จากนั้นจะไปตามหาไม้ที่สัปเหร่อใช้สำหรับเขี่ยศพ โดยไม้ที่ใช้สามารถใช้ไม้ได้ทุกชนิดโดยอาจจะเป็นไม้ไผ่ก็ได้ ทั้งนี้ ไม้ที่สัปเหร่อใช้สำหรับแทงศพ เขี่ยศพ หรือพลิกศพขณะที่อยู่ในพิธีเผา จะต้องเป็นศพที่เสียชีวิตในวันอังคาร และนำศพมาเผาในวันศุกร์ ซึ่งช่วงเวลาที่ว่านี้ถือว่าเป็นเวลาที่ขลังและเฮี้ยนมากที่สุด

เมื่อได้ไม้มาแล้ว ก็นำมาทำเป็นโครงร่างของควายธนู ที่มีเขา หัว ขา และหาง ครบถ้วน ต่อจากนั้น ก็นำครั่งที่เกาะอยู่ที่ต้นพุทราที่มีลักษณะพิเศษตรงที่ปลายกิ่งชี้ไปทางทิศตะวันออก มาปะติดที่โครงที่ผูกไว้ของควายธนู จากนั้นจึงปิดแผ่นทองคำเปลวที่ปิดหน้าศพคนตายทับลงไปที่ครั่งอีกชั้นหนึ่ง ตามมาด้วยการใช้ตะกรุดมาเสียบเอาไว้ระหว่างอกกับคอ ก่อนจะนำเอาครั่งมาประกบให้ทั่วอีกชั้นหนึ่งจนทั่วตัวของควายธนู

หลังจากประกอบร่างของความธนูสำเร็จแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของพิธีกรรมนี้ นั่นก็คือ การเสกคาถากำกับให้ควายธนูจงรักภักดีและคอยรับใช้เจ้าของตามที่ต้องการสารพัดนึก ซึ่งหัวใจสำคัญของการทำพิธีนี้จะต้องใช้อาจารย์ที่มีเวทขมังและมีอาคมที่แกร่งกล้า เพื่อกำกับคาถาเสกให้แก่ควายธนู

กว่าจะได้ควายธนูมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การนำควายธนูไปใช้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน เพราะจะต้องระมัดระวังไม่ให้ของเสื่อม หากผู้ใช้ปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ย่อมจะทำให้ไสยศาสตร์จากความยธนูนี้ย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของได้ นอกจากนี้ หากนำเอาควายธนูไปใช้กับผู้ที่มีวิชาอาคมที่แกร่งกล้ามากกว่า ควายธนูก็อาจถูกสยบเอาได้ คนปกติทั่วไปจึงไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่วิสัยของคนปกติ และเป็นอวิชชาที่มีแต่จะเป็นเวรเป็นกรรมเวรกันเสียเปล่าๆ ความรู้ที่นำมาถ่ายทอดกันให้อ่านในที่นี้ จึงควรรู้ไว้เพียงเพื่อประดับตัว แต่ไม่ควรเลียนแบบเป็นอันขาด

เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีกองกอย





กองกอย ถือเป็นผีป่าหรือผีไพรชนิดหนึ่ง  กองกอยมักมีรูปร่างลักษณะเป็นผีขาเดียว ที่มีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน เวลาที่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนก็มักจะกระโดดไปด้วยขาข้างเดียว พร้อมกับส่งเสียงร้องว่า ” กองกอย ๆ ” ซึ่งทำให้เป็นที่มาของชื่อเรียกที่ว่านี้นั่นเอง

คนส่วนใหญ่เชื่อว่ากองกอยมีหน้าตาคล้ายกับลิงหรือค่าง บ้างก็เรียกว่า ผีโป่ง หรือผีโบ่งขาม เนื่องจากสันนิษฐานว่า ผีโป่งก็คือค่างแก่ที่มีหน้าตาน่าเกลียดและไม่สามารถปีนขึ้นต้นไม้ได้นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า หากได้มีโอกาสดื่มเลือดค่าง จะทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพันและเป็นอมตะชั่วนิรันดร์

คนโบราณมักจะมีความเชื่อว่า ผีกองกอย มักจะดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนที่ไปพักค้างแรมในป่า หากต้องการป้องกันไม่ให้ผีมาดูดเลือด จะต้องนอนไขว้ขาหรือนอนเท้าชิดกันทั้งสองข้าง ตัวอย่างของผีกองกอยในวรรณคดี ก็คือเจ้าย่องตอด ซึ่งพบได้ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี นั่นเอง

เรายังพบผีชนิดอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายๆกับผีกองกอยมีกระจัดกระจายไปทั่วในหลายประเทศ เช่น คนมาเลเซียจะมีความเชื่อเรื่องผีคนป่าเผ่าหนึ่งที่มีขาข้างเดียวและไม่มีสะบ้าหัวเข่า ส่วนในจีนก็มีความเชื่อเกี่ยวกับปีศาจชนิดหนึ่งที่มักอาศัยอยู่ตามภูเขา ผีจีนตัวนี้จะมีลักษณะพิเศษคือมีขาเดียว ตัวเล็ก ตาโต หูแหลม แต่ผมยาว และมักจะชอบลักขโมยอาหารหรือสิ่งของของคนเดินทาง และเมื่อถึงเทศกาลวันตรุษ ผีชนิดนี้ก็มักเข้ามาอาละวาดคนในหมู่บ้าน จึงเชื่อว่าเป็นผีที่นำความอัปมงคลมาให้ หากใครได้จับต้องโดนตัวมัน จะต้องเผชิญกับความโชคร้ายหรือต้องเจ็บไข้ได้ป่วยกันทุกราย ส่วนทางยุโรปก็มีผีขาเดียว ที่มักจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนด้วยวิธีการกระโดด

ส่วนในภาคเหนือของไทยก็มีผีอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า ผีโป๊กกะโหล้ง ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นผีโป่งชนิดหนึ่ง เพราะลักษณะของมันคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ มีขาเพียงข้างเดียว แต่วิ่งไวราวกับลมพัด อย่างไรก็ตาม ผีชนิดนี้มีความแปลกอยู่บ้างตรงที่ไม่เคยดูดเลือดคนที่เดินป่า แต่กลับชอบเล่นบังตาคนมากกว่า ผีชนิดนี้มักมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวว่า โป๊กๆๆ กะโหล้ง โป๊กๆๆๆ กะโหล้ง ส่วนนิสัยประจำตัวอีกอย่างของผีชนิดนี้คือ หากมีมนุษย์คนใดมาตะโกนเรียกกันในป่า มันจะทำเสียงเลียนแบบ จนทำให้คนที่ตะโกนรับหลงทางไปจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้น คนเฒ่าคนแก่ถึงได้ห้ามไม่ให้เราตะโกนเสียงดังในป่า เพราะเกรงว่าผีโป๊กกะโหล้งจะเลียนเสียงแล้วทำให้หลงป่าได้นั่นเอง

เรื่องเล่าสยองขวัญ ผีกะ




ผีกะ เป็นผีพื้นบ้านทางภาคเหนือ ผีพวกนี้จะมีลักษณะคล้ายผีปอบ คือเข้าสิงในคน และชอบกินของสดของคาว
คนที่เลี้ยงผีกะ เป็นคนที่มีวิชาอาคม เล่นคุณเล่นของ ผีกะจะถูกเลี้ยงไว้ในหม้อดิน โดยมีผ้ายันต์สีขาวปิดปากหม้อไว้ โดยจะวางไว้บนเพดานบ้าน เจ้าของจะเซ่นผีกะด้วยไข่ดิบวันละฟอง
ผีกะ แต่เดิมคนที่เริ่มนำมาเผยแพร่ คือพวกลิเก หรือพวกนักดนตรี ที่แสดงการละเล่น เรียกว่าผีกะพระ-นาง ผีกะชนิดนี้มีลักษณะคล้ายวอกหรือค่าง ตัวเล็กๆสองตัว มักจะนั่งบนบ่าคนเลี้ยง ผีกะชนิดนี้มีคุณประโยชน์ตรงที่ หากใครเลี้ยงไว้ไม่ว่านักแสดงจะขี้เหร่แค่ไหน พอตกกลางคืนมันจะเลียหน้า ทำให้ยิ่งดึกยิ่งงดงาม การเลี้ยงผีกะจึงเป็นแฟชั่นของนักแสดงทางภาคเหนือในช่วงหนึ่งและเริ่มแพร่หลายสู่ภาคเหนือในจังหวัดต่างๆ จนกระทั่งแยกเป็นหลายชนิด ผีกะมีคุณอนันต์แต่ก็มีโทษมหันต์ หากใครเลี้ยงไม่ดี ปล่อยให้ผีกะอดๆอยากๆ มันก็จะทำให้เจ้าของกลายสภาพเป็นกึ่งคนกึ่งภูติ ชอบสิงสู่ชาวบ้านกินตับไตไส้พุง ต้องหาหมอผีมาไล่ออกไปเป็นประจำ

 ชนิดของผีกะ
ผีกะพระ-นาง 
ผีกะต้นฉบับดั้งเดิม ไม่มีใครรู้ว่ามาจากที่ไหน แต่เป็นที่นิยมเลี้ยงกัน เพื่อให้มันเรียกคนดูมาชม ทำให้คนดูหลงใหลในการแสดงของนักแสดงคนนั้นๆ แม้ว่ากลางวันจะขี้เหร่แค่ไหน แต่ตอนกลางคืนผีกะสามารถทำให้นักแสดงคนนั้นๆสวยหรือหล่อหยาดฟ้ามาดินได้
ผีกะดง 
จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ บอกว่าผีกะดงนี้ มีอยู่จริงในนิทานพื้นบ้าน ในอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ผีกะชนิดนี้มีความดุร้าย วิ่งไวดุจลมพัด มักออกหากินเป็นฝูงในยามพลบค่ำ แต่น้ำลายของผีกะชนิดนี้วิเศษมาก สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ทุกชนิด ทำให้ร่างกายมีความคงกระพันชาตรี ดังมีเรื่องเล่าว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง หลงรักลูกสาวของคหบดีในตัวเมือง แต่พ่อตาไม่ชอบเพราะว่าชายหนุ่มจน และจัดการให้ลูกสาวของตนแต่งงานกับชายหนุ่มที่มั่งคั่ง ฝ่ายเจ้าบ่าวเองก็ทราบเรื่องของเจ้าสาวดี จึงส่งคนมาทำร้ายคนรักของเจ้าสาว และหิ้วไปทิ้งในป่า ชายหนุ่มสะบักสะบอม เจ็บทั้งกายและใจ แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ได้แต่ปลงต่อความตาย รอให้สัตว์ร้ายในป่ามากิน ประจวบกับเวลานั้น มีฝูงผีกะดงกำลังออกหากิน ลูกฝูงผีกะจับขาชายหนุ่มเพื่อลากไปเป็นอาหาร ชายหนุ่มนิ่งเงียบปลงต่อชีวิต หัวหน้าผีกะแปลกใจมาก จึงห้ามลูกฝูงและสอบถามเรื่องราว ชายหนุ่มเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด หัวหน้าผีกะเห็นใจ จึงบอกว่า หากชายหนุ่มยอมนับถือพวกตนเป็นผีประจำตระกูล จะช่วยให้ชายหนุ่มได้สมหวัง ชายหนุ่มตอบตกลง ผีกะจึงพากันรุมเลียตัวของชายหนุ่ม ด้วยอานุภาพน้ำลายบาดแผลจากการถูกทำร้ายหายสนิท ฝูงผีกะพาชายหนุ่มนั่งบนบ่า บุกบ้านแต่งงาน ลูกน้องของเจ้าบ่าวรุมทุบ รุมฟาดชายหนุ่ม แต่ก็ไม่อาจทำร้ายชายหนุ่มได้แม้ปลายขน เพราะฝูงผีกะดงกำบังตาไว้ และถีบลูกน้องจนกระเด็นตกเรือนกันหมด พวกผีกะพาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวออกมาโดยสะดวก หัวหน้าผีกะให้ทองคำและสมบัติที่พวกตนเฝ้ารักษาไว้ ชายหนุ่มปฏิบัติตามคำสัญญาและนับถือผีกะเป็นผีประจำตระกูลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผีกะอาคม 
การเรียนวิชาอาคมในสมัยโบราณ ครูจะหวงวิชามาก ดังนั้นก่อนการเรียนจะต้องมีการขึ้นครูก่อนเสมอเพื่อให้อาคมนั้นสามารถรักษาผู้เรียนได้ มีคนบางคนที่เรียนอาคมโดยไม่ได้ขึ้นครูก่อน จึงโดนคำสาปที่ครูสาปแช่งไว้ในปั๊บหรือตำรานั้นๆ ทำให้กลายเป็นผีกะ ผีกะชนิดนี้จะสิงสู่ในตัวผู้เรียนโดยไม่รู้ตัว แต่ยามค่ำคืนมันจะออกไปหาอาหาร โดยแปลงตัวให้เหมือนหน้าร่างกายที่มันสิงอยู่
ผีกะตระกูล 
ผีกะอีกสายหนึ่งที่มีคุณอนันต์เช่นกัน ผีกะชนิดนี้เป็นที่นิยมเลี้ยงแพร่หลายของชาวภาคเหนือ วิธีสังเกตว่าบ้านไหนเลี้ยงผีกะ ให้ดูนาของบ้านนั้นๆ ไม่ว่านานั้นจะอยู่ที่ดอนหรือที่ลุ่ม ไม่ว่าฝนจะแล้งหรือฝนจะขาด นาของบ้านที่เลี้ยงผีกะจะอุดมสมบูรณ์เสมอ ไม่มีแมลงมากวน ไม่มีโรคระบาด ผีกะชนิดนี้เลี้ยงดีมีคุณมาก ถ้าเลี้ยงไม่ดีผีจะออกหากินสิงสู่ชาวบ้าน เมื่อโดนหมอผีไล่ มันก็จะประจานผู้เลี้ยงทำให้อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน.
ผีกะตายโหง 
คนบางคนเมื่อตายโหง จิตใจยังพะวกพะวนกับโลก จึงสิงสู่ในที่ๆตนตาย แต่เพราะความยึดถือในกายว่าตนยังไม่ตาย เมื่อไม่ได้กินอะไรนานๆเข้า มันหิวกระหาย จึงสิงสู่คนผู้มีจิตอ่อนแอทำให้กลายเป็นผีกะโดยไม่รู้ตัว ผีกะชนิดนี้มีอยู่จริงๆ จากเรื่องเล่าของแม่อุ้ยท่านหนึ่ง ว่า มีคนผู้หนึ่งชื่อ หนานเจต ทำนาที่ริมเขตเมืองเก่าแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย(ทางอำเภอเชียงของ) โดยไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นเคยมีคนถูกควายขวิดตาย วิญญาณของคนผู้นั้นจึงสิงสู่หนานเจต พอค่ำลงที่ใกล้ๆหนานเจตนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งทำนาอยู่ หนานเจตเดินเข้ามาหาชาวบ้านคนนั้น ชาวบ้านถามว่ามีอะไร หนานเจตไม่ตอบแต่ดวงตาค่อยๆแดงก่ำและมีเขี้ยวงอกออกมา กระโจนเข้าหาชาวบ้านผู้นั้น ชาวบ้านคนนั้นวิ่งหนีลงมาจากระท่อมนาอย่างขวัญกระเจิง มาหาพ่อของย่าที่กำลังนอนอยู่ บอกให้ช่วยไล่ผีไปที พ่อของย่าจึงถือไม้ไผ่และสายสิญจน์เดินไปดู แต่หนานเจตกลับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ยังคงนอนหลับอยู่ที่ห้าง ผีกะชนิดนี้จึงอาศัยร่างต้นเหมือนปรสิตวิญญาณ จะพาร่างกายออกหากินในยามเจ้าของหลับ
นกเค้าผีกะ 
ผีกะชนิดนี้มีทูตเป็นนกเค้าแมว สังเกตได้ง่ายว่าหากจะมีผีกะมาเยือนหมู่บ้านไหน กลางคืนคืนนั้นจะมีนกเค้าแมวมาร้อง ทั้งๆที่ไม่ใช่ฤดูที่นกควรร้อง(ฤดูหนาว) รุ่งเช้าคนที่เข้ามาหมู่บ้าน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผีกะ